
ประสบการณ์จริงของคนไทยที่ย้ายไปใช้ชีวิตในสปลิท โครเอเชีย ครอบคลุมค่าครองชีพ งาน ที่อยู่อาศัย วัฒนธรรม และสิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจย้ายประเทศ
ฉันเป็นคนไทยที่ตัดสินใจย้ายมาใช้ชีวิตที่เมืองสปลิท (Split) ประเทศโครเอเชีย เมืองชายฝั่งที่หลายคนอาจไม่คุ้นชื่อ และแทบไม่มีรีวิวการย้ายไปอยู่ให้อ่านก่อนมาเลย แม้ฉันจะย้ายไปอยู่ไม่นาน แต่การใช้ชีวิตที่นั่น ทำให้ได้พบทั้งความแปลกใหม่
ความเรียบง่าย และจังหวะชีวิตที่ต่างออกไปจากกรุงเทพฯ แบบสุดขั้ว ทุกวันมีสิ่งให้เรียนรู้และมีหลายอย่างที่ฉันอยากให้คนไทยได้สัมผัสด้วยตัวเอง เพราะมันทั้งงง ทั้งสนุก และทั้งน่าประทับใจไปพร้อมกัน
ในบทความนี้ ฉันจึงอยากแบ่งปันประสบการณ์จริงสำหรับคนไทยที่กำลังคิดย้ายประเทศ หรือกำลังสนใจเมืองสปลิทเป็นพิเศษ โดยรวบรวมทุกเรื่องที่ฉันเจอมาด้วยตัวเอง ตั้งแต่ความเปลี่ยนแปลงของเมืองในแต่ละฤดู ไปจนถึงวัฒนธรรมดาเมเชียนที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ทั้งเรื่องดี เรื่องท้าทาย และสิ่งที่ควรรู้ก่อนมาอยู่ที่นี่ และได้สรุปออกมาเป็น 22 ประเด็นสำคัญ เพื่อช่วยให้คุณเห็นภาพชีวิตในเมืองสปลิทอย่างชัดเจนที่สุดก่อนตัดสินใจ ไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง
บทความนี้ใช้เวลาอ่านประมาณ 27 นาที ยังไม่มีเวลาอ่านตอนนี้เหรอ? ไม่เป็นไรเลย คุณสามารถส่งเวอร์ชันบทความแบบไม่มีโฆษณาไปที่อีเมลของคุณ แล้วค่อยอ่านทีหลังก็ได้!
คำชี้แจงเรื่องความโปร่งใส: บทความนี้อาจมีลิงก์ไปยังผลิตภัณฑ์หรือบริการจากพันธมิตรของเรา หากคุณคลิกลิงก์เหล่านั้น เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กน้อย ซึ่งอาจมีผลต่อรูปแบบการจัดวางเนื้อหาบางส่วน อย่างไรก็ตาม โปรดวางใจว่า เราแนะนำเฉพาะสิ่งที่เราเชื่อว่ามีประโยชน์และเหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณจริง ๆ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน นโยบายโฆษณา ของเรา.
Contents
สรุปสาระสำคัญ
- สปลิทเป็นเมืองชายฝั่งที่จังหวะชีวิตช้า เรียบง่าย โดยมีวัฒนธรรม fjaka เป็นหัวใจของการใช้ชีวิต
- ฟุตบอล ครอบครัว และศาสนา คือแกนหลักของสังคมท้องถิ่น การเข้าใจสิ่งนี้ช่วยให้ปรับตัวได้ง่ายขึ้น
- ค่าครองชีพสูงขึ้นมากหลังเปลี่ยนมาใช้เงินยูโร โดยเฉพาะค่าเช่าและของใช้ในเขตท่องเที่ยว
- งานส่วนใหญ่เป็นงานตามฤดูกาลท่องเที่ยว ต้องวางแผนการเงินให้ดี โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาวที่เมืองเงียบ
- ที่อยู่อาศัยไม่มั่นคงในฤดูร้อน หลายคนต้องย้ายบ้านบ่อยเพราะเจ้าของปล่อยเช่าระยะสั้น
- การรู้ภาษาโครเอเชียพื้นฐานช่วยให้ใช้ชีวิตง่ายขึ้นและเข้าถึงคนท้องถิ่นได้มากขึ้น
- ระบบสาธารณสุขและราชการค่อนข้างช้า การมีประกันเอกชนและเตรียมเอกสารล่วงหน้าจะช่วยลดความเครียด
- เมืองมีความปลอดภัยสูง เหมาะกับการใช้ชีวิตกลางแจ้ง เดินเล่น ว่ายน้ำ และทำกิจกรรมทางทะเลได้ตลอดปี
ผู้คน วัฒนธรรม และหัวใจของชาวโครเอเชีย
1. ฟุตบอลคือลมหายใจและจังหวะชีวิต (The Football Frenzy)
ถ้าคุณเคยคิดว่าคนไทยคลั่งฟุตบอล ลองมาเจอคนโครเอเชียดูก่อน… ที่นี่ฟุตบอลไม่ใช่กีฬาแต่มันคือ “ศาสนา” และความภาคภูมิใจในชาติพันธุ์ และเป็นสิ่งเดียวที่รวมผู้คนเอาไว้ด้วยกันอย่างแท้จริง ถึงแม้จะเคยทะเลาะต่อยตีกันมาแค่ไหน ในวันนี้ก็จะมานั่งกอดคอ หัวเราะ ดื่มเบียร์ เชียร์บอลด้วยกันอย่างเมามัน

หากวันไหนมีการแข่งขันฟุตบอลนัดสำคัญ โดยเฉพาะเป็นทีม Hajduk Split เมืองสปลิตทั้งเมืองจะเงียบสงัดราวกับเมืองร้าง ถนนว่างเปล่า ชายหาดที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนก็โล่ง เพราะทุกคนพร้อมจะเกาะจอรวมตัวกันที่บ้าน หรือบาร์ที่จอทีวีใหญ่ ๆ เพื่อส่งเสียงเชียร์ แม้ว่าตัวฉันจะไม่ได้ดูบอล และไม่ได้ดูแมทช์นี้ก็จะรู้ว่าชนะหรือแพ้ เพราะหากชนะจะมีเสียงพลุและเสียงแตรดังลั่นไปทั่วฟ้า พร้อมเสียงปาร์ตี้ที่กระหึ่มดังไปทั่วเมืองจนดึกดื่น แต่ถ้าแพ้ คุณลุงเจ้าของบ้านก็จะโวยวายไล่เพื่อนฝูงกับบ้าน และนั่งซึมอยู่ในสวนทั้งวันเลยทีเดียว
2. วันอาทิตย์ วันของครอบครัว และศาสนา
คนโครเอเชียให้ความสำคัญกับครอบครัวมาก ๆ โดยเฉพาะในทุกวันอาทิตย์ จะเปรียบเสมือนวันแห่งศาสนาที่ทุกคนจะเข้าโบสถ์ด้วยกันตอนเช้า ช่วงบ่ายทำอาหารกินข้าวอยู่บ้าน และวันนี้จะเป็นวันเดียวที่ฉันจะไม่เห็นคุณป้าภรรยาลุงเจ้าของบ้าน หิ้วถุงผ้าออกไปช้อปปิ้งตอนเช้า แต่จะเก็บตัวทำอาหารมื้อใหญ่ ให้ลูกหลานที่จะมาหาในตอนเย็น
เพราะวันอาทิตย์เป็นวันศักดิ์สิทธิ์และวันพักผ่อนอย่างแท้จริง ร้านค้าส่วนใหญ่จะปิดทำการหรือเปิดเพียงไม่กี่ชั่วโมงในช่วงเช้า เพื่อให้ทุกคนได้อยู่กับครอบครัว และในทุก ๆ วันอาทิตย์คุณลุงเจ้าของบ้านจะเอาอาหารพื้นเมืองของโครเอเชียมาให้ฉันได้ลองทานอยู่เสมอ อย่างพิซซ่า ไก่อบ เครื่องในวัวตุ๋น หมูหัน ฟังดูอาจจะไม่ใช่อาหารพื้นเมืองแท้ ๆ แต่ก็เป็นอาหารที่คนที่นี่กินกันบ่อยเลยทีเดียว
3. จบให้ไว ไม่ยืดเยื้อ วิธีแก้ปัญหาความขัดแย้งที่แปลกแต่จริง
นี่อาจจะไม่ใช่วิธีที่คนไทยขี้เกรงใจอย่างเราคุ้นเคย แต่กับคนโครเอเชียคุ้นเคยกันดี คือเวลาที่พวกเขาทะเลาะกัน หรือมีเรื่องบาดหมางใจกัน ทางออกที่ไวที่สุด คือ ขึ้นสังเวียนต่อยกันให้รู้แล้วรู้รอด เพื่อให้เรื่องจบได้อย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าคนโครเอเชียในแถบเมืองอื่นจะเป็นแบบนี้ไหม แต่คนสปลิทส่วนใหญ่ที่ฉันเจอจะเป็นแบบนี้
แต่การต่อยกันบางครั้งมันไม่ใช่เพราะต้องการความรุนแรงเสมอไป เรื่องบางเรื่องแค่ตกลงกันไม่ได้ และไม่มีใครยอมแพ้การตัดสินด้วยหมัดจะช่วยให้วัดผลแพ้-ชนะได้เลย และพอต่อยกันจบตกเย็นมาก็มานั่งดูบอล จิบเบียร์ คุยกันปกติ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
4. เสน่ห์ของ “Fjaka” (ฟยักก้า) วัฒนธรรมการทำอะไรช้า ๆ
ถ้าคุณมาที่นี่ครั้งแรก คุณอาจจะรู้สึกว่าที่นี่ใช้ชีวิตกันช้ามาก แคชเชียร์ก็ช้า รถบัสก็ช้า คนรอบกายก็ดูเดินช้า ๆ แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นปรัชญาการใช้ชีวิตของชาวดาลเมเชียน “Fjaka” หรือที่แปลว่า “ความสุขของการทำอะไรอย่างเชื่องช้า” หรือ “ศิลปะของการไม่ทำอะไรเลย” โดยเลือกที่จะอยู่กับตัวเอง อยู่กับธรรมชาติรอบตัว ซึ่งแน่นอนว่าจากคนกรุงเทพฯ เมืองหลวงอันเร่งรีบไปอยู่เมืองสปลิทอันเชื่องช้ามันย่อมมีความแตกต่างพอสมควร แต่ด้วยวิถีชีวิตแบบนี้ พออยู่นาน ๆ ไปเราจะคุ้นชินไปเอง และทำให้เรารู้สึกเหมือนได้อยู่กับตัวเอง ได้พักหายใจ และรู้สึกสงบอย่างแท้จริง
5. อย่าพึ่งพาภาษาอังกฤษมากเกินไป เรียนรู้จักภาษาโครเอเชียบ้าง
ในตัวเมืองสปลิท แม้ร้านค้าและบริการส่วนใหญ่จะมีพนักงานที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ แต่พอมาอยู่ตามชุมชนหรือหมู่บ้านนอกเมือง ฉันพบว่าการรู้ภาษาโครเอเชียบ้างเป็นเรื่องที่ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นมาก ๆ แถมยังทำให้เพื่อนบ้านเอ็นดูและเข้าหาเราได้เร็วขึ้นอีกด้วย การเรียนคำง่าย ๆ วันละนิดกลายเป็นเรื่องสนุก เพราะคนท้องถิ่นมักอยากสอนคำใหม่ ๆ ให้เราทุกวันอย่างเป็นกันเอง
ช่วงแรกฉันใช้แต่ภาษาอังกฤษ เวลาเจอป้าแคชเชียร์ในซูเปอร์ใกล้บ้านก็มักรู้สึกว่าแกทำหน้าบึ้ง ใจแข็ง ไม่พูดไม่จา จนแอบคิดว่าแกไม่ชอบเรา แต่พอเริ่มทักทายด้วยคำง่าย ๆ อย่าง “Dobar dan” หรือ “Hvala” ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป แกยิ้มมากขึ้น พูดคุยกับเรามากขึ้น ถึงแม้จะพูดด้วยภาษาที่เราฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่ก็คอยสอนนับเลข บอกชื่ออาหารพื้นเมืองอร่อย ๆ ให้ตลอด เป็นโมเมนต์เล็ก ๆ ที่ทำให้รู้ว่าภาษานี่แหละคือกุญแจสู่หัวใจของคนโครเอเชียจริง ๆ
เศรษฐกิจ การเงิน และการงาน
6. ค่าครองชีพที่พุ่งสูงหลังเปลี่ยนเป็น “ยูโร”
คนคิดจะย้ายมาโครเอเชียต้องรู้ คือรีวิวและข้อมูลก่อนปี 2023 อาจทำให้คุณคิดว่าการใช้ชีวิตในสปลิทนั้น “ถูกมาก” เมื่อเทียบกับยุโรปอื่น ๆ ซึ่งฉันก็เคยโดนหลอกมาแล้ว อัพเดตสถานการณ์ปัจจุบัน คือ ค่าครองชีพเปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง เพราะตั้งแต่โครเอเชียเปลี่ยนมาใช้สกุลเงินยูโรเมื่อต้นปี 2023 ค่าครองชีพก็พุ่งสูงขึ้นรวดเร็วมาก จนคนในสปลิทเองยังบ่นเป็นแถว หลายครอบครัวที่เคยเช่าอยู่ในสปลิทมาตลอดถึงขั้นต้องย้ายออก เพราะไม่สามารถจ่ายค่าเช่าที่ขยับขึ้นแบบก้าวกระโดดได้

ขณะเดียวกันราคาของกิน ของใช้ และอสังหาริมทรัพย์ก็ขยับขึ้นแบบเนียน ๆ ตามแรงกดดันจากทั้งการท่องเที่ยวและการเปลี่ยนสกุลเงิน แต่ค่าแรงขั้นต่ำกลับแทบไม่ขยับ ทำให้สัดส่วนรายได้ไม่สัมพันธ์กับรายจ่ายอย่างเห็นได้ชัด ปัจจุบันค่าครองชีพในสปลิทจึงสูงพอ ๆ กับเมืองใหญ่ในยุโรปตะวันตก ทั้งที่รายได้เฉลี่ยของคนท้องถิ่นไม่ได้เทียบเท่ากันเลย ทำให้ฉันรู้สึกว่าการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ กับสปลิท โครเอเชียไม่ต่างกันมากนัก เพียงแค่มีบรรยากาศที่แตกต่างกันแค่นั้นเอง
ลองดูค่าครองชีพในโครเอเชียเพิ่มเติมได้ที่ ค่าครองชีพในโครเอเชีย: คุณต้องใช้เท่าไหร่ต่อเดือนในปี 2025?
7. ปัญหาการย้ายถิ่นของคนหนุ่มสาว (Brain Drain)
น้อยมากที่เราจะเดินไปซุปเปอร์หรือร้านอาหารแล้วจะเจอแต่พนักงานวัยรุ่น เด็ก ๆ มาทำงานพาร์ทไทม์กัน ส่วนมากแทบจะเป็นพนักงานวัยเกษียณ หรือคุณป้าคุณลุงที่คอยมาดูแล หรือหากเป็นในเมืองสปลิทก็พอมีให้เห็นอยู่บ้างแต่จริง ๆ แล้วก็แทบจะไม่มีใครเป็นคนโครเอเชียเลย ส่วนมากก็จะเป็นคนบอสเนียที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาหาเงิน เพราะบอสเนียเองก็แทบจะไม่มีงานให้ทำ แถมโครเอเชียยังรายได้ดีกว่า แต่ขณะเดียวกัน หนุ่มสาวโครเอเชียก็ย้ายออกนอกประเทศไปทำงานแทบเยอรมันนีหรืออสเตรีย เพื่อหางานที่ดีกว่า และมีค่าแรงสูงกว่า
ดังนั้น หากคุณอ่านทุกบทความที่ฉันเขียนเกี่ยวกับโครเอเชียมา คุณอาจจะรู้สึกได้ว่าทำไมไม่ค่อยมีการพูดถึงเพื่อน ๆ วัยเดียวกันเลย มีแต่จะพูดถึงคุณลุง ป้า ตายายเสียมากกว่า นั่นก็เพราะการใช้ชีวิตประจำวันของฉัน แทบไม่เจอหนุ่มสาวคนโครเอเชียแท้ ๆ เลยแม้แต่คนเดียว
8. ที่นี่มีงานให้ทำตามฤดูกาลท่องเที่ยว พบเจอผู้คนใหม่ ๆ แต่เหงาในหน้านาว
ที่นี่มีงานให้ทำตามฤดูกาลท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยเฉพาะสายบริการอย่างโรงแรม ร้านอาหาร บาร์ หรือบริษัททัวร์ เพราะสปลิทเป็นเมืองที่พึ่งพาการท่องเที่ยวอย่างเต็มตัว ช่วงฤดูร้อนงานจะเยอะจนทำแทบไม่ทัน ทั้งสนุกทั้งได้เจอผู้คนใหม่ ๆ จากทั่วโลก บรรยากาศจะคึกคักแบบเอาเป็นเอาตายทุกวัน แต่พอเข้าหน้าหนาว เมืองจะเงียบลงราวกับมีคนปิดสวิตช์ จนรู้สึกได้ทันทีว่าจังหวะชีวิตเปลี่ยนไปอีกแบบ
ข้อดีคือรูปแบบงานแบบนี้เหมาะกับคนไทยหลายคนที่อยากทำงานช่วงหนึ่งแล้วเก็บเวลาท่องเที่ยวช่วงหนึ่ง คล้ายไลฟ์สไตล์คนยุโรปที่ทำงานหนักในซัมเมอร์และพักจริงจังในฤดูหนาว เพียงแต่สิ่งที่ต้องวางแผนให้ดีคือ การบริหารเงินเก็บ เพราะรายได้หลักจะมาจากช่วงซัมเมอร์ ถ้าแบ่งไม่ดี อาจใช้ไม่พอจนถึงฤดูกาลท่องเที่ยวรอบถัดไปได้
9. ราคาของชำยิ่งใกล้เขตท่องเที่ยว ยิ่งแพงหูฉี่
ในสปลิทยิ่งอยู่ใกล้โซนท่องเที่ยว ราคาของชำยิ่งพุ่งแบบไม่เกรงใจใครเลย ของพื้นฐานอย่างผัก ผลไม้ นม ไข่ หรือแม้แต่ขนมปัง สามารถแพงขึ้นได้เป็นเท่าตัวแค่เพราะอยู่ “ใกล้ริว่า” หรืออยู่ในเขตเมืองเก่า ยิ่งเป็นร้านสะดวกซื้อเล็ก ๆ ตามตรอกซอกซอยยิ่งราคาแรงกว่าในซุปเปอร์ใหญ่ ๆ มาก แบบที่คนท้องถิ่นยังบ่นกันเป็นเรื่องปกติ
สำหรับฉัน ตอนแรกยังงงว่าทำไมซื้อน้ำดื่มที่ร้านใกล้บ้านราคาไม่กี่ยูโร แต่พอเดินเข้าไปในโซนท่องเที่ยวกลับโดดไปเกือบสองเท่า เหมือนเป็นอีกประเทศในระยะเดินไม่กี่ร้อยเมตร ยิ่งเป็นครีมกันแดดราคายิ่งพุ่งไปเกือบสิบเท่าในทุกโซน แม้แต่ใกล้ชุมชน จนเกิดเป็นเทรนด์ว่า คนโครเอเชียต้องซื้อครีมกันแดดตุนกันในหน้าหนาว เพราะหน้าร้อนแม้แต่มหาเศรษฐีก็ไม่อยากจะซื้อเลย
ที่อยู่อาศัย สภาพแวดล้อม และการเดินทาง
10. การย้ายที่อยู่บ่อย ๆ คือเรื่องปกติของคนสปลิทจริง ๆ
พออยู่ไปสักพักฉันถึงได้รู้ว่า ไม่ใช่แค่ชาวต่างชาติอย่างเราหรอกที่ต้องย้ายบ้านบ่อย ๆ แต่แม้แต่คนสปลิทเองก็เจอปัญหาเดียวกัน เพราะเมืองนี้มี “สงครามที่พักอาศัย” ที่สู้กันระหว่างคนท้องถิ่นกับ Airbnb ช่วงฤดูร้อนเจ้าของอพาร์ตเมนต์เกือบทุกคนเลือกปล่อยเช่ารายวันให้ท่องเที่ยว เพราะรายได้ดีกว่าแบบเทียบกันไม่ติด ทำให้ต้องคอยย้ายของออกในช่วงเมษายน-พฤษภาคมแล้วออกอยู่ในเมืองกันหมด

ฉันเองก็เคยเจอสถานการณ์นี้เหมือนกัน ช่วงแรกคิดว่าหาห้องเช่าแบบยาว ๆ คงไม่ยาก แต่พอมาอยู่จริงถึงเข้าใจว่า “ฤดูหนาว” คือ Golden Time ของการหาบ้าน เพราะเจ้าของยังเปิดให้เช่าระยะยาวอยู่บ้าง แต่เอาจริง ๆ ก็ย้ายทุกสามเดือนอยู่เหมือนกัน เรียกได้ว่า ย้ายเข้ายังไม่ทันเสร็จก็ต้องรีบมองหาบ้านหลังต่อไปก่อนจะเต็ม ต้องบอกตามตรงว่ามันเป็นความวุ่นวายที่ทั้งเหนื่อย แต่ก็ทำให้เราได้เข้าใจชีวิตของคนเมืองนี้มากขึ้นจริง ๆ
11. สปลิทมีแสงแดดและอากาศสดใสเกือบตลอดปี แต่ฤดูหนาวคือพายุโหมกระหน่ำ
หนึ่งในสิ่งที่ฉันหลงรักสปลิทตั้งแต่แรกเลย คือที่นี่มีแสงแดดสดใสแทบทั้งปี แบบเดินออกจากบ้านปุ๊บก็เห็นฟ้าสีฟ้าเข้ม ๆ จนลืมไปเลยว่าอยู่ยุโรป ที่นี่ฤดูร้อนสั้นก็จริง แต่ร้อนแบบกำลังดีและอากาศโล่ง แดดแรงแต่ไม่อึดอัด ทำให้เมืองทั้งเมืองมีชีวิตชีวา ผู้คนเดินเล่นริมทะเล ร้านกาแฟเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และทุกวันเหมือนวันหยุดเล็ก ๆ ของตัวเอง แม้แต่ช่วงใบไม้ผลิหรือใบไม้ร่วงก็ยังมีวันอุ่น ๆ ให้ได้ออกไปนั่งรับแดดอยู่เสมอ
แต่พอเข้าสู่ฤดูหนาว…มันเหมือนอีกโลกหนึ่งเลย ความเงียบเข้ามาแทนที่ และสิ่งที่ทำให้ฤดูหนาวที่นี่ดู “ดุ” ไม่ใช่หิมะ แต่คือลมโบรา (Bura) ที่โหมลงมาจากภูเขาอย่างไม่ให้ตั้งตัว ลมแรงจนรู้สึกเหมือนทั้งเมืองสั่นไปด้วย บางวันแทบเดินไม่ไหว ฉันเองก็เคยออกไปซื้อของแล้วต้องถอยกลับเข้าบ้าน เพราะลมตีจนแทบลืมตาไม่ได้ แม้อุณหภูมิจะไม่ถึงขั้นติดลบ แต่ความหนาวของลมนี่แหละที่ทำให้รู้สึกเหมือนถูกพายุถล่มอยู่ตลอดเวลา
12. เมืองที่มี 2 ด้าน ระหว่าง “สปลิทเมืองปาร์ตี้” กับ “สปลิทเมืองพักผ่อน”
สปลิทเป็นเมืองที่มีสองบุคลิกชัดเจนมาก แบบที่บางทีฉันยังงงตัวเองว่าอยู่เมืองเดียวกันจริงไหม เพราะพอเดินอยู่ในตัวเมืองหรือริมทะเล คุณจะเห็นภาพผู้สูงวัยนั่งจิบกาแฟคุยกันแบบเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ เหมือนโลกหยุดหมุน ทุกคนดูนิ่ง สงบ และใช้ชีวิตช้าอย่างตั้งใจ ชีวิตที่นี่เหมาะกับคนที่อยากพักผ่อนแบบลึก ๆ จริง ๆ นั่งมองทะเล ปล่อยเวลาผ่านไปเฉย ๆ
แต่แค่คุณข้ามไปอีกมุมของเมือง หรือกระโดดขึ้นเรือไปยังเกาะรอบ ๆ อย่าง Hvar หรือ Brač ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปคนละโลกทันที ฉันยังจำครั้งแรกที่ไป Hvar ได้ดี เหมือนหลุดไปในแดนปาร์ตี้ของเด็กวัยรุ่นทั้งยุโรป ทั้งบาร์ริมหาด คลับเปิดยันเช้า เสียงเพลง EDM กระแทกหัวใจจนไม่ต้องดื่มอะไรก็แทบเต้นเองแบบอัตโนมัติ มุมนี้ของสปลิทคือสนามเด็กเล่นของวัยคึกคะนองที่อยากสนุก ชอบพบคนใหม่ และพร้อมใช้พลังงานให้หมดวันต่อวัน
มันเลยกลายเป็นเสน่ห์แบบสองขั้วของสปลิท เมืองที่ตอนเช้าเหมาะกับการพักใจ แต่ตอนเย็นถ้าขยับไปไม่ไกล คุณก็สามารถหลุดไปอยู่ในโลกปาร์ตี้แบบไม่รู้ตัว
13. ระบบขนส่งสาธารณะพอใช้ แต่ต้องมีรถถ้าอยู่ไกล
ถ้าให้เล่าตามความรู้สึกของฉันที่อยู่สปลิทจริง ๆ ระบบขนส่งสาธารณะที่นี่ถือว่า “พอใช้” แต่ไม่ถึงกับสะดวกจนนั่งสบายใจได้เหมือนบางเมืองในยุโรป หากอยู่ในเขตเมืองเก่าหรือบริเวณริว่า คุณแทบไม่ต้องใช้รถบัสเลย เพราะทุกอย่างเดินถึงกันง่ายมาก แบบเดินแป๊บเดียวก็เจอซูเปอร์ ท่าเรือ ร้านกาแฟ ครบทุกอย่าง เหมือนเมืองถูกออกแบบมาให้ใช้เท้าเป็นหลักมากกว่าอะไรทั้งหมด
แต่พอคุณเริ่มขยับออกจากโซนใจกลางเมือง แค่เลยเนินเขาไปนิดเดียว ทุกอย่างจะเปลี่ยนทันทีค่ะ รถบัสยังมีวิ่งอยู่ แต่รอบมักห่างและมาไม่ค่อยตรงเวลา โดยเฉพาะตอนค่ำ ๆ ที่บางทีรอจนลมทะเลพัดจะพาเรากลับบ้านอยู่แล้วก็ยังไม่มา ฉันเองเคยพยายามใช้รถบัสช่วงแรก ๆ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้และเช่ารถ เพราะถ้าบ้านคุณอยู่บนเขา หรืออยากไปที่เที่ยวห่าง ๆ หน่อย รถส่วนตัวคือคำตอบเดียวจริง ๆ ที่จอดก็หายากและแพง แต่ก็ยังง่ายกว่าการรอบัสครึ่งชีวิตอยู่ดี
อาหาร กาแฟ และการดูแลสุขภาพ
14. กาแฟเน้นความเข้มข้น ไม่ใช่ความสร้างสรรค์
ถ้าอยู่สปลิทมาสักพัก คุณจะรู้เลยว่าการ “ไปดื่มกาแฟ” ที่นี่มันไม่เหมือนที่อื่นเลยสักนิด ฉันเองก็เคยคิดว่าร้านกาแฟต้องมีเมนูครีเอติฟเป็นสิบ ๆ อย่าง แต่พอย้ายมาอยู่จริงถึงได้เข้าใจว่า ที่นี่เขาไม่ได้อินกับเมนูแฟนซีเท่าไหร่ แต่ให้ความสำคัญกับความเข้มและความเรียบง่ายต่างหาก อย่างเอสเพรสโซ คือ พระเอกตัวจริงของเมืองนี้ ไม่ว่าจะเป็นช็อตตรง ๆ มัคคิอาโต้ที่มีฟองนมนิดเดียว หรือกาแฟขาวแบบดั้งเดิม ทุกอย่างจะเน้นแน่น เข้ม และชัดเจน แบบที่คนโครเอเชียเชื่อว่า “กาแฟต้องมีตัวตน” ไม่ใช่น้ำหวานใส่ไซรัปหอม ๆ
เวลาฉันไปคาเฟ่กับเพื่อนบ้าน พวกเขาไม่ได้มานั่งลุ้นว่าเมนูใหม่สัปดาห์นี้คืออะไร แต่เน้นการนั่งคุย นั่งมองผู้คน และปล่อยตัวเข้าโหมด fjaka ศิลปะของการไม่ทำอะไรเลย กาแฟเป็นแค่ตัวประกอบที่ช่วยให้การนั่งคุยเรื่อย ๆ มันมีเหตุผลเท่านั้นเอง แน่นอนว่าสปลิทก็เริ่มมีร้าน specialty ที่ทันสมัยขึ้นบ้างแล้ว เช่น D16 หรือ Tinel สำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากลองอะไรต่างไป แต่โดยรวม วัฒนธรรมกาแฟที่นี่คือความเรียบง่ายที่เต็มไปด้วยความตั้งใจ เข้มแต่สุภาพ เงียบแต่ลึก และเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันได้เป็นส่วนหนึ่งของเมืองนี้จริง ๆ
15. อาหารฟาสต์ฟู้ดไม่ใช่ทางเลือกราคาถูก
อยู่สปลิทไปนาน ๆ จะรู้เลยว่าฟาสต์ฟู้ดอย่าง McDonald’s หรือ KFC ไม่ได้เป็นตัวเลือกง่าย ๆ และถูก ๆ แบบที่เราคุ้นเคยจากบ้านเรา เพราะสาขาพวกนี้มักกระจุกอยู่ใน Mall of Split ไกลจากโซนเมืองเก่าที่เราใช้ชีวิตกันจริง ๆ แถมราคาก็ไม่ได้เป็นมิตรกับกระเป๋าตังสักเท่าไหร่ เลยกลายเป็นว่า เวลาฉันอยากหาอะไรง่าย ๆ กินเร็ว ๆ ฉันแทบไม่เคยนึกถึงฟาสต์ฟู้ดเลย กลับกันสิ่งที่ตอบโจทย์จริง ๆ มักเป็นร้านเล็ก ๆ ใกล้บ้านมากกว่า

อย่างเช่น Pekara หรือร้านเบเกอรี่ท้องถิ่นที่มีอยู่ทุกหัวมุม บูเร็กไส้ชีสร้อน ๆ ชิ้นหนึ่งก็เอาอยู่แล้วในวันที่รีบ หรือถ้าหิวจริง ๆ ก็เดินเข้าคอนอบาแถวตลาด หยิบเมนู Marenda แบบบ้าน ๆ ที่ให้เยอะและราคาไม่แรงแถมอร่อยจนเหมือนกินข้าวที่บ้านใครสักคน อาหารท้องถิ่นเหล่านี้กลายเป็น “ฟาสต์ฟู้ดตัวจริง” ของคนสปลิท เพราะมันอยู่ใกล้กว่า คุ้มกว่า และให้ความรู้สึกว่าคุณกำลังกินเหมือนคนในเมืองนี้จริง ๆ มากกว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวที่เพิ่งเดินหลงเข้า Mall ไปหาเบอร์เกอร์ที่หากินได้ทั่วทุกมุมโลก
16. คนในสปลิทชอบกินพริกหยวก
คนที่อยู่สปลิทมักจะพูดเล่นกันว่า “ถ้าบ้านไหนไม่มีกระปุกพริกหยวกบด แปลว่าบ้านนั้นไม่ได้อยู่โครเอเชียจริง ๆ ” เพราะพริกหยวกเป็นเหมือนลายเซ็นของอาหารที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นสตูว์แบบบ้าน ๆ หรืออาหารจานด่วนในวันเหนื่อย ๆ ผงพริกหยวกสีแดงสดจะถูกโรยลงไปเสมอ มันให้ทั้งกลิ่นที่อบอุ่นและความรู้สึกคุ้นเคยแบบที่ทำให้คิดถึงบ้านทันที ยิ่งช่วงเย็นอากาศเย็น ๆ เดินผ่านครัวใครแล้วได้กลิ่นกูลาชหอม ๆ นี่รู้เลยว่าเมนูวันนั้นมีพริกหยวกแล้วอย่างน้อยหนึ่งหม้อ
ส่วนพริกหยวกสดก็เป็นอีกอย่างที่คนสปลิทชอบมาก โดยเฉพาะเมนู Punjena paprika หรือพริกหยวกยัดไส้ ที่แทบทุกบ้านจะมีสูตรลับของตัวเอง บางบ้านใส่เนื้อแบบแน่น ๆ บางบ้านเน้นข้าวให้ฟูกินง่าย แล้วก็ตุ๋นในซอสมะเขือเทศจนซึมเข้าเนื้อแบบหอมทั้งบ้าน เวลาได้กินมันจะมีความรู้สึกโล่งใจเหมือนได้พักใจหลังวันยาว ๆ และแม้สปลิทจะขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเล แต่พริกหยวกนี่แหละคือรสชาติที่ต้องมีทุกบ้าน
17. เบียร์ Ožujsko ไม่ดื่มเหมือนไปไม่ถึงโครเอเชีย
ในสปลิท เบียร์ไม่ได้เป็นแค่เครื่องดื่ม แต่มันคือ “ข้ออ้างให้เราได้นั่งคุยกันนาน ๆ ” มากกว่า Ožujsko กับ Karlovačko คือคู่หูที่อยู่ในทุกโต๊ะ เบา สดชื่น และดื่มง่ายจนเหมาะกับอากาศริมทะเลแบบไม่ต้องคิดมาก เวลาเพื่อนชวนว่า ajmo na pivo มันไม่ใช่คำชวนให้ไปเมา แต่เหมือนชวนให้ไปนั่งพัก หายใจลึก ๆ มองฟ้าคราม แล้วปล่อยใจสบาย ๆ หรือเราจะไปดื่มริมชายหาดก็ยังได้เลย
แต่ช่วงหลัง ๆ ฉันเริ่มเห็นวัฒนธรรมเบียร์ในสปลิทกำลังโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะฝั่งคราฟต์เบียร์ที่มาแรงแบบเงียบ ๆ โรงเบียร์เล็ก ๆ อย่าง LAB Split ทำให้เมืองนี้มีตัวเลือกสนุก ๆ เพิ่มขึ้น ทั้ง IPA หอมฮอป หรือ Stout เข้ม ๆ ที่คนรุ่นใหม่ชอบลองกัน บาร์เฉพาะทางก็ผุดขึ้นตามซอยเก่า ๆ แบบน่ารัก ๆ มีเบียร์หมุนเวียนสไตล์แปลกใหม่ให้จิบทุกครั้งที่แวะไป สุดท้ายแล้ววัฒนธรรมเบียร์ของสปลิทมันเลยออกมาเป็นภาพผสมที่อบอุ่นดี เบียร์ลาเกอร์เย็นเจี๊ยบที่โตมากับเรา กับคราฟต์เบียร์ที่ช่วยเติมสีสันให้เมืองชายทะเลแห่งนี้มีชีวิตชีวามากขึ้น
18. การดูแลสุขภาพเหมือนเขาวงกตของการหาหมอประจำตัว
การใช้ชีวิตในสปลิททำให้ฉันได้เรียนรู้ว่าเรื่องสุขภาพที่นี่มันไม่ต่างอะไรจากการเดินเข้าไปในเขาวงกตเงียบ ๆ ริมทะเล คุณจะไปหาหมอเฉพาะทางไม่ได้เลย ถ้ายังไม่มีหมอประจำตัว (GP) คอยเป็น “ประตูด่านแรก” ให้ก่อน ซึ่งพูดตรง ๆ คือกว่าจะหาหมอที่รับคนไข้ใหม่ได้ก็ต้องอาศัยทั้งเวลา ทั้งความอดทน และบางครั้งก็ต้องโทรตามเป็นสัปดาห์ พอได้ GP แล้ว ทุกอย่างก็ยังไม่จบ เพราะต่อให้คุณรู้ว่าเจ็บอะไร ต้องการหมอเฉพาะทางคนไหน คุณก็เดินไปหาด้วยตัวเองไม่ได้อยู่ดี ต้องรอใบส่งตัวจาก GP เสมอ
เพราะแบบนั้นคนท้องถิ่นหลายคนรวมถึงฉันเอง ถึงเลือกพึ่งประกันเอกชนควบคู่ไปด้วย โรงพยาบาลเอกชนที่นี่สะอาดแบบสบายใจได้ ห้องตรวจไม่อึดอัด และที่สำคัญคือพูดภาษาอังกฤษได้คล่องกว่าเยอะ ทำให้ทุกอย่างลื่นไหลขึ้นมาก คุณสามารถนัดหมอเฉพาะทางได้เลย ไม่ต้องวนกลับไปขอใบส่งตัวก่อนให้เหนื่อยใจ ถ้าอยากรักษาให้จบเร็ว แบบไม่ต้องเดินหลงอยู่ในเขาวงกตนานเกินไป ประกันเอกชนคือทางออกที่หลายคนในสปลิทยอมรับว่าสบายกว่าอย่างไม่ต้องคิดมากเลยค่ะ
ความปลอดภัย และกิจกรรมกลางแจ้ง
19. เดินเล่นชิล ๆ ได้ทั้งวัน ปลอดภัยแม้ฟ้ามืด
แม้สปลิทจะเป็นเมืองท่องเที่ยวใหญ่ แต่ในชีวิตประจำวันมันกลับรู้สึกปลอดภัยมากกว่าที่คิด ฉันเดินกลับบ้านตอนค่ำอยู่บ่อย ๆ โดยไม่เคยรู้สึกว่าต้องคอยหันหลังมอง ใคร ๆ ก็ใช้ชีวิตกันแบบสบายใจ อาชญากรรมรุนแรงแทบไม่ค่อยเกิดขึ้น ที่ต้องระวังจริง ๆ คือพวกมิจฉาชีพล้วงกระเป๋าตามตรอกซอกซอยของเมืองเก่า โดยเฉพาะช่วงที่นักท่องเที่ยวแน่นจนไหลไปตามถนนเหมือนสายน้ำในฤดูร้อน
แต่อีกมุมหนึ่ง ความขัดแย้งเฉพาะจุดก็ใช่ว่าจะไม่มี โดยมากจะมาจากเรื่องฟุตบอลหรืออารมณ์ที่พุ่งขึ้นหลังดื่มหนักตามบาร์บางแห่ง ถ้าเห็นกลุ่มคนเฮฮาเสียงดังเกินไป ฉันมักจะเลือกเดินอ้อมบาร์หรือแหล่งปาร์ตี้นิดหน่อยเพื่อความสบายใจ ไม่ใช่เพราะเมืองไม่ปลอดภัย แต่แค่เซฟตัวเองไว้อุ่นใจกว่า
20. แหล่งรวมตัวของคนรักกิจกรรมทางน้ำ
สปลิทเป็นเมืองที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปในจังหวะของทะเลตั้งแต่เช้าจรดเย็น บางวันฉันแค่เดินผ่านท่าเรือกลางเมืองก็เห็นทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นต่อแถวขึ้นเรือไป Hvar หรือ Brač เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาไม่ต่างจากการนั่งรถเมล์ ซึ่งมันเป็นสเน่ห์ของสปลิท เพราะเป็นเมืองที่ท่าเรืออยู่ติดเมืองเก่าและหมู่เกาะดัลเมเชียรายรอบกลายเป็นสนามเด็กเล่นธรรมชาติสำหรับทุกวัย อีกทั้งยังมีน้ำทะเลใสและอ่าวสวย ๆ รอบเกาะ Vis หรือ Korčula ทำให้หลายคนเลือกใช้วันหยุดแบบ ขึ้นเรือแล้วไปเล่นน้ำมากกว่าการขับรถเที่ยวเสียอีก
ยิ่งอยู่ไปนาน ๆ คุณจะยิ่งรู้ว่ากิจกรรมทางน้ำไม่ใช่เรื่องพิเศษ แต่มันคือวิถีชีวิตที่ฝังอยู่ในลมหายใจของเมืองนี้ ตั้งแต่การออกเรือยอชต์ไปนอนค้างบนเกาะ พายคายัคชมพระอาทิตย์ตกที่ Marjan Hill ดำน้ำดูโลกใต้ทะเลใสราวกระจก ไปจนถึงเล่น Picigin ที่ชายหาด Bačvice ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติและเข้าถึงง่ายอย่างเหลือเชื่อ
21. ปอดของเมือง Marjan Hill
มาร์ยันฮิลล์เป็นเหมือนเพื่อนเก่าที่ชาวสปลิทพึ่งพิงเสมอ เวลาไปที่นี่ทีไรจะรู้สึกเหมือนได้หายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด และได้หลบความวุ่นวายในเมืองเก่า ฉันเองมักเดินขึ้นไปทาง Vidilica ในตอนเช้า ลัดเลาะไปตามบ้านคนไปเรื่อย ๆ พอขึ้นไปถึงด้านบนจะเห็นหลังคาแดงของสปลิท ทะเลเอเดรียติกที่ทอดยาวไปไกล และหมู่เกาะที่ลอยอยู่บนขอบฟ้า เป็นภาพที่ทำให้เข้าใจทันทีว่าทำไมคนท้องถิ่นถึงหลงรักที่นี่และมาพักผ่อนกันเป็นประจำ

และความงามของมาร์ยันไม่ได้มีแค่บนยอดเขาเท่านั้น รอบคาบสมุทรเต็มไปด้วยเส้นทางเดินป่า ชายหาดน้ำใสอย่าง Bene และ Kašjuni ที่คนสปลิทชอบแวะไปว่ายน้ำหลังเลิกงาน รวมถึงโบสถ์เก่าแก่ที่ซ่อนตัวอยู่ตามไหล่เขาแบบที่คุณจะเจอโดยไม่ตั้งใจ มาร์ยันจึงไม่ใช่เพียง “ปอดของเมือง” แต่เหมือนเป็นหัวใจของคนท้องถิ่น ที่ผสมผสานระหว่าธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และชีวิตประจำวันเข้าไว้ด้วยกัน
22. ระบบราชการที่ช้ากว่าประเทศไทย
ถ้าพูดถึงงานราชการในสปลิท คนไทยอย่างเราต้องทำใจก่อนเลยว่ามันจะช้า แบบช้ามาก และระบบทุกอย่างเต็มไปด้วยขั้นตอนที่ยุ่งยากพอให้หัวหมุนได้ง่าย ๆ การต่อวีซ่า หรือต่อใบอนุญาตพำนักที่ MUP เหมือนเป็นบททดสอบความอดทนอย่างแท้จริง ทั้งคิวที่เริ่มยาวตั้งแต่ยังไม่เปิดทำการ เจ้าหน้าที่บางคนไม่พูดอังกฤษ แถมมักจะขอเอกสารเพิ่มแบบไม่ทันตั้งตัว ทำผิดนิดเดียวคือโดนให้ไปเริ่มใหม่ได้เลย ฉันเองเคยเดินวนสามรอบเพราะลืมถ่ายสำเนาหนึ่งใบ จนจำได้ขึ้นใจว่า อย่าประมาทระบบราชการโครเอเชียเป็นอันขาด ต้องเช็คแล้วเช็คอีกเพื่อไม่ให้เสียเวลามากเกินไป
สุดท้ายเลยต้องปรับตัวใหม่หมด เรียนรู้ว่าต้องเตรียมเอกสารแบบจัดเต็ม เผื่อไว้ทุกอย่างเท่าที่คิดได้ ไปถึงก่อนเวลาเปิดทำการเสมอ และทำใจให้สบายเข้าไว้ เพราะถ้าใจร้อนก็มีแต่จะเหนื่อยเพิ่ม เปรียบง่าย ๆ คือ ระบบราชการที่นี่ไม่ต่างจากสลอตที่ต้องเดินแบบใจเย็น ไม่รีบ และพร้อมสำหรับบททดสอบลับเสมอ พอเข้าใจจังหวะของเมืองนี้แล้ว ทุกอย่างก็จะไปได้เรื่อย ๆ ในแบบสปลิท ช้าแต่ก็เป็นสไตล์โครแอตเลย
สรุปไม่มีอะไรน่ากลัว ถ้าใจเราพร้อมจะออกไปใช้ชีวิต
หลังจากอยู่สปลิทมาระยะหนึ่ง ฉันได้เรียนรู้ว่าเมืองนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรน่ากลัวเกินกว่าจะรับมือได้เหมือนกัน ตั้งแต่ระบบราชการที่ช้า คนท้องถิ่นที่ตรงไปตรงมาเกินคาด ไปจนถึงค่าครองชีพที่สูงขึ้น ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตต่างบ้านต่างเมือง ซึ่งสุดท้ายแล้วก็กลายเป็นประสบการณ์ที่ทำให้ฉันแข็งแรงขึ้น มองโลกกว้างขึ้น และใจเย็นขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต
สปลิทสอนให้ฉันรู้ว่า ไม่มีเมืองไหน “เหมาะสมที่สุด” สำหรับใครทุกคนหรอก แต่ทุกเมืองจะกลายเป็นบ้านของเราได้ ถ้าเรากล้าก้าวออกจากความคุ้นเคย และเปิดใจให้เรื่องใหม่ ๆ ที่ชีวิตจะพาเข้ามา ถ้าคุณกำลังลังเลว่าจะย้ายเมืองดีไหม ฉันอยากบอกว่า ลองออกไปใช้ชีวิตดู มันอาจไม่ได้ง่าย แต่จะเต็มไปด้วยเรื่องเล่าที่ไม่มีวันลืม และคุณจะได้รู้จักตัวเองในแบบที่อยู่เมืองเดิมทั้งชีวิตก็อาจไม่เคยได้รู้มาก่อน
ขอให้การเดินทางของคุณ…เป็นทั้งครู เพื่อน และของขวัญในเวลาเดียวกัน





