22 เรื่องน่ารู้คู่มือชีวิตใช้ชีวิตในสปลิท โครเอเชีย

Life in Split 22 Useful Things You Need to Know Before Moving Here

ประสบการณ์จริงของคนไทยที่ย้ายไปใช้ชีวิตในสปลิท โครเอเชีย ครอบคลุมค่าครองชีพ งาน ที่อยู่อาศัย วัฒนธรรม และสิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจย้ายประเทศ

ฉันเป็นคนไทยที่ตัดสินใจย้ายมาใช้ชีวิตที่เมืองสปลิท (Split) ประเทศโครเอเชีย เมืองชายฝั่งที่หลายคนอาจไม่คุ้นชื่อ และแทบไม่มีรีวิวการย้ายไปอยู่ให้อ่านก่อนมาเลย แม้ฉันจะย้ายไปอยู่ไม่นาน แต่การใช้ชีวิตที่นั่น ทำให้ได้พบทั้งความแปลกใหม่

ความเรียบง่าย และจังหวะชีวิตที่ต่างออกไปจากกรุงเทพฯ แบบสุดขั้ว ทุกวันมีสิ่งให้เรียนรู้และมีหลายอย่างที่ฉันอยากให้คนไทยได้สัมผัสด้วยตัวเอง เพราะมันทั้งงง ทั้งสนุก และทั้งน่าประทับใจไปพร้อมกัน

ในบทความนี้ ฉันจึงอยากแบ่งปันประสบการณ์จริงสำหรับคนไทยที่กำลังคิดย้ายประเทศ หรือกำลังสนใจเมืองสปลิทเป็นพิเศษ โดยรวบรวมทุกเรื่องที่ฉันเจอมาด้วยตัวเอง ตั้งแต่ความเปลี่ยนแปลงของเมืองในแต่ละฤดู ไปจนถึงวัฒนธรรมดาเมเชียนที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ทั้งเรื่องดี เรื่องท้าทาย และสิ่งที่ควรรู้ก่อนมาอยู่ที่นี่ และได้สรุปออกมาเป็น 22 ประเด็นสำคัญ เพื่อช่วยให้คุณเห็นภาพชีวิตในเมืองสปลิทอย่างชัดเจนที่สุดก่อนตัดสินใจ ไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง

บทความนี้ใช้เวลาอ่านประมาณ 27 นาที ยังไม่มีเวลาอ่านตอนนี้เหรอ? ไม่เป็นไรเลย คุณสามารถส่งเวอร์ชันบทความแบบไม่มีโฆษณาไปที่อีเมลของคุณ แล้วค่อยอ่านทีหลังก็ได้!

คำชี้แจงเรื่องความโปร่งใส: บทความนี้อาจมีลิงก์ไปยังผลิตภัณฑ์หรือบริการจากพันธมิตรของเรา หากคุณคลิกลิงก์เหล่านั้น เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กน้อย ซึ่งอาจมีผลต่อรูปแบบการจัดวางเนื้อหาบางส่วน อย่างไรก็ตาม โปรดวางใจว่า เราแนะนำเฉพาะสิ่งที่เราเชื่อว่ามีประโยชน์และเหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณจริง ๆ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน นโยบายโฆษณา ของเรา.

Contents

  1. สรุปสาระสำคัญ
  2. ผู้คน วัฒนธรรม และหัวใจของชาวโครเอเชีย
    1. 1. ฟุตบอลคือลมหายใจและจังหวะชีวิต (The Football Frenzy)
    2. 2. วันอาทิตย์ วันของครอบครัว และศาสนา 
    3. 3. จบให้ไว ไม่ยืดเยื้อ วิธีแก้ปัญหาความขัดแย้งที่แปลกแต่จริง
    4. 4. เสน่ห์ของ "Fjaka" (ฟยักก้า) วัฒนธรรมการทำอะไรช้า ๆ 
    5. 5. อย่าพึ่งพาภาษาอังกฤษมากเกินไป เรียนรู้จักภาษาโครเอเชียบ้าง
  3. เศรษฐกิจ การเงิน และการงาน
    1. 6. ค่าครองชีพที่พุ่งสูงหลังเปลี่ยนเป็น "ยูโร"
    2. 7. ปัญหาการย้ายถิ่นของคนหนุ่มสาว (Brain Drain)
    3. 8. ที่นี่มีงานให้ทำตามฤดูกาลท่องเที่ยว พบเจอผู้คนใหม่ ๆ แต่เหงาในหน้านาว
    4. 9. ราคาของชำยิ่งใกล้เขตท่องเที่ยว ยิ่งแพงหูฉี่
  4. ที่อยู่อาศัย สภาพแวดล้อม และการเดินทาง
    1. 10. การย้ายที่อยู่บ่อย ๆ คือเรื่องปกติของคนสปลิทจริง ๆ 
    2. 11. สปลิทมีแสงแดดและอากาศสดใสเกือบตลอดปี แต่ฤดูหนาวคือพายุโหมกระหน่ำ
    3. 12. เมืองที่มี 2 ด้าน ระหว่าง "สปลิทเมืองปาร์ตี้" กับ "สปลิทเมืองพักผ่อน"
    4. 13. ระบบขนส่งสาธารณะพอใช้ แต่ต้องมีรถถ้าอยู่ไกล
  5. อาหาร กาแฟ และการดูแลสุขภาพ
    1. 14. กาแฟเน้นความเข้มข้น ไม่ใช่ความสร้างสรรค์
    2. 15. อาหารฟาสต์ฟู้ดไม่ใช่ทางเลือกราคาถูก
    3. 16. คนในสปลิทชอบกินพริกหยวก
    4. 17. เบียร์ Ožujsko ไม่ดื่มเหมือนไปไม่ถึงโครเอเชีย
    5. 18. การดูแลสุขภาพเหมือนเขาวงกตของการหาหมอประจำตัว 
  6. ความปลอดภัย และกิจกรรมกลางแจ้ง
    1. 19. เดินเล่นชิล ๆ ได้ทั้งวัน ปลอดภัยแม้ฟ้ามืด
    2. 20. แหล่งรวมตัวของคนรักกิจกรรมทางน้ำ
    3. 21. ปอดของเมือง Marjan Hill
    4. 22. ระบบราชการที่ช้ากว่าประเทศไทย
  7. สรุปไม่มีอะไรน่ากลัว ถ้าใจเราพร้อมจะออกไปใช้ชีวิต

สรุปสาระสำคัญ

  • สปลิทเป็นเมืองชายฝั่งที่จังหวะชีวิตช้า เรียบง่าย โดยมีวัฒนธรรม fjaka เป็นหัวใจของการใช้ชีวิต
  • ฟุตบอล ครอบครัว และศาสนา คือแกนหลักของสังคมท้องถิ่น การเข้าใจสิ่งนี้ช่วยให้ปรับตัวได้ง่ายขึ้น
  • ค่าครองชีพสูงขึ้นมากหลังเปลี่ยนมาใช้เงินยูโร โดยเฉพาะค่าเช่าและของใช้ในเขตท่องเที่ยว
  • งานส่วนใหญ่เป็นงานตามฤดูกาลท่องเที่ยว ต้องวางแผนการเงินให้ดี โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาวที่เมืองเงียบ
  • ที่อยู่อาศัยไม่มั่นคงในฤดูร้อน หลายคนต้องย้ายบ้านบ่อยเพราะเจ้าของปล่อยเช่าระยะสั้น
  • การรู้ภาษาโครเอเชียพื้นฐานช่วยให้ใช้ชีวิตง่ายขึ้นและเข้าถึงคนท้องถิ่นได้มากขึ้น
  • ระบบสาธารณสุขและราชการค่อนข้างช้า การมีประกันเอกชนและเตรียมเอกสารล่วงหน้าจะช่วยลดความเครียด
  • เมืองมีความปลอดภัยสูง เหมาะกับการใช้ชีวิตกลางแจ้ง เดินเล่น ว่ายน้ำ และทำกิจกรรมทางทะเลได้ตลอดปี

ผู้คน วัฒนธรรม และหัวใจของชาวโครเอเชีย

1. ฟุตบอลคือลมหายใจและจังหวะชีวิต (The Football Frenzy)

ถ้าคุณเคยคิดว่าคนไทยคลั่งฟุตบอล ลองมาเจอคนโครเอเชียดูก่อน… ที่นี่ฟุตบอลไม่ใช่กีฬาแต่มันคือ “ศาสนา” และความภาคภูมิใจในชาติพันธุ์ และเป็นสิ่งเดียวที่รวมผู้คนเอาไว้ด้วยกันอย่างแท้จริง ถึงแม้จะเคยทะเลาะต่อยตีกันมาแค่ไหน ในวันนี้ก็จะมานั่งกอดคอ หัวเราะ ดื่มเบียร์ เชียร์บอลด้วยกันอย่างเมามัน

Croatia football fan
คนโครเอเชียบ้างคลั่งฟุตบอลมากๆ หากวันไหนมีนัดสำคัญ ทั่วทั้งเมืองจะเงียบเลยทีเดียว

หากวันไหนมีการแข่งขันฟุตบอลนัดสำคัญ โดยเฉพาะเป็นทีม Hajduk Split เมืองสปลิตทั้งเมืองจะเงียบสงัดราวกับเมืองร้าง ถนนว่างเปล่า ชายหาดที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนก็โล่ง เพราะทุกคนพร้อมจะเกาะจอรวมตัวกันที่บ้าน หรือบาร์ที่จอทีวีใหญ่ ๆ เพื่อส่งเสียงเชียร์ แม้ว่าตัวฉันจะไม่ได้ดูบอล และไม่ได้ดูแมทช์นี้ก็จะรู้ว่าชนะหรือแพ้ เพราะหากชนะจะมีเสียงพลุและเสียงแตรดังลั่นไปทั่วฟ้า พร้อมเสียงปาร์ตี้ที่กระหึ่มดังไปทั่วเมืองจนดึกดื่น แต่ถ้าแพ้ คุณลุงเจ้าของบ้านก็จะโวยวายไล่เพื่อนฝูงกับบ้าน และนั่งซึมอยู่ในสวนทั้งวันเลยทีเดียว

2. วันอาทิตย์ วันของครอบครัว และศาสนา 

คนโครเอเชียให้ความสำคัญกับครอบครัวมาก ๆ โดยเฉพาะในทุกวันอาทิตย์ จะเปรียบเสมือนวันแห่งศาสนาที่ทุกคนจะเข้าโบสถ์ด้วยกันตอนเช้า ช่วงบ่ายทำอาหารกินข้าวอยู่บ้าน และวันนี้จะเป็นวันเดียวที่ฉันจะไม่เห็นคุณป้าภรรยาลุงเจ้าของบ้าน หิ้วถุงผ้าออกไปช้อปปิ้งตอนเช้า แต่จะเก็บตัวทำอาหารมื้อใหญ่ ให้ลูกหลานที่จะมาหาในตอนเย็น 

เพราะวันอาทิตย์เป็นวันศักดิ์สิทธิ์และวันพักผ่อนอย่างแท้จริง ร้านค้าส่วนใหญ่จะปิดทำการหรือเปิดเพียงไม่กี่ชั่วโมงในช่วงเช้า เพื่อให้ทุกคนได้อยู่กับครอบครัว และในทุก ๆ วันอาทิตย์คุณลุงเจ้าของบ้านจะเอาอาหารพื้นเมืองของโครเอเชียมาให้ฉันได้ลองทานอยู่เสมอ อย่างพิซซ่า ไก่อบ เครื่องในวัวตุ๋น หมูหัน ฟังดูอาจจะไม่ใช่อาหารพื้นเมืองแท้ ๆ แต่ก็เป็นอาหารที่คนที่นี่กินกันบ่อยเลยทีเดียว

3. จบให้ไว ไม่ยืดเยื้อ วิธีแก้ปัญหาความขัดแย้งที่แปลกแต่จริง

นี่อาจจะไม่ใช่วิธีที่คนไทยขี้เกรงใจอย่างเราคุ้นเคย แต่กับคนโครเอเชียคุ้นเคยกันดี คือเวลาที่พวกเขาทะเลาะกัน หรือมีเรื่องบาดหมางใจกัน ทางออกที่ไวที่สุด คือ ขึ้นสังเวียนต่อยกันให้รู้แล้วรู้รอด เพื่อให้เรื่องจบได้อย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าคนโครเอเชียในแถบเมืองอื่นจะเป็นแบบนี้ไหม แต่คนสปลิทส่วนใหญ่ที่ฉันเจอจะเป็นแบบนี้

แต่การต่อยกันบางครั้งมันไม่ใช่เพราะต้องการความรุนแรงเสมอไป เรื่องบางเรื่องแค่ตกลงกันไม่ได้ และไม่มีใครยอมแพ้การตัดสินด้วยหมัดจะช่วยให้วัดผลแพ้-ชนะได้เลย และพอต่อยกันจบตกเย็นมาก็มานั่งดูบอล จิบเบียร์ คุยกันปกติ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย 

4. เสน่ห์ของ “Fjaka” (ฟยักก้า) วัฒนธรรมการทำอะไรช้า ๆ 

ถ้าคุณมาที่นี่ครั้งแรก คุณอาจจะรู้สึกว่าที่นี่ใช้ชีวิตกันช้ามาก แคชเชียร์ก็ช้า รถบัสก็ช้า คนรอบกายก็ดูเดินช้า ๆ แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นปรัชญาการใช้ชีวิตของชาวดาลเมเชียน “Fjaka” หรือที่แปลว่า “ความสุขของการทำอะไรอย่างเชื่องช้า” หรือ “ศิลปะของการไม่ทำอะไรเลย” โดยเลือกที่จะอยู่กับตัวเอง อยู่กับธรรมชาติรอบตัว ซึ่งแน่นอนว่าจากคนกรุงเทพฯ เมืองหลวงอันเร่งรีบไปอยู่เมืองสปลิทอันเชื่องช้ามันย่อมมีความแตกต่างพอสมควร แต่ด้วยวิถีชีวิตแบบนี้ พออยู่นาน ๆ ไปเราจะคุ้นชินไปเอง และทำให้เรารู้สึกเหมือนได้อยู่กับตัวเอง ได้พักหายใจ และรู้สึกสงบอย่างแท้จริง

5. อย่าพึ่งพาภาษาอังกฤษมากเกินไป เรียนรู้จักภาษาโครเอเชียบ้าง

ในตัวเมืองสปลิท แม้ร้านค้าและบริการส่วนใหญ่จะมีพนักงานที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ แต่พอมาอยู่ตามชุมชนหรือหมู่บ้านนอกเมือง ฉันพบว่าการรู้ภาษาโครเอเชียบ้างเป็นเรื่องที่ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นมาก ๆ แถมยังทำให้เพื่อนบ้านเอ็นดูและเข้าหาเราได้เร็วขึ้นอีกด้วย การเรียนคำง่าย ๆ วันละนิดกลายเป็นเรื่องสนุก เพราะคนท้องถิ่นมักอยากสอนคำใหม่ ๆ ให้เราทุกวันอย่างเป็นกันเอง

ช่วงแรกฉันใช้แต่ภาษาอังกฤษ เวลาเจอป้าแคชเชียร์ในซูเปอร์ใกล้บ้านก็มักรู้สึกว่าแกทำหน้าบึ้ง ใจแข็ง ไม่พูดไม่จา จนแอบคิดว่าแกไม่ชอบเรา แต่พอเริ่มทักทายด้วยคำง่าย ๆ อย่าง “Dobar dan” หรือ “Hvala” ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป แกยิ้มมากขึ้น พูดคุยกับเรามากขึ้น ถึงแม้จะพูดด้วยภาษาที่เราฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่ก็คอยสอนนับเลข บอกชื่ออาหารพื้นเมืองอร่อย ๆ ให้ตลอด เป็นโมเมนต์เล็ก ๆ ที่ทำให้รู้ว่าภาษานี่แหละคือกุญแจสู่หัวใจของคนโครเอเชียจริง ๆ

เศรษฐกิจ การเงิน และการงาน

6. ค่าครองชีพที่พุ่งสูงหลังเปลี่ยนเป็น “ยูโร”

คนคิดจะย้ายมาโครเอเชียต้องรู้ คือรีวิวและข้อมูลก่อนปี 2023 อาจทำให้คุณคิดว่าการใช้ชีวิตในสปลิทนั้น “ถูกมาก” เมื่อเทียบกับยุโรปอื่น ๆ ซึ่งฉันก็เคยโดนหลอกมาแล้ว อัพเดตสถานการณ์ปัจจุบัน คือ ค่าครองชีพเปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง เพราะตั้งแต่โครเอเชียเปลี่ยนมาใช้สกุลเงินยูโรเมื่อต้นปี 2023 ค่าครองชีพก็พุ่งสูงขึ้นรวดเร็วมาก จนคนในสปลิทเองยังบ่นเป็นแถว หลายครอบครัวที่เคยเช่าอยู่ในสปลิทมาตลอดถึงขั้นต้องย้ายออก เพราะไม่สามารถจ่ายค่าเช่าที่ขยับขึ้นแบบก้าวกระโดดได้

groceries in Crotia
หลังจากโครเอเชียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ EU แล้ว ค่าครองชีพค่อยๆสูงขึ้นทันตาเห็น

ขณะเดียวกันราคาของกิน ของใช้ และอสังหาริมทรัพย์ก็ขยับขึ้นแบบเนียน ๆ ตามแรงกดดันจากทั้งการท่องเที่ยวและการเปลี่ยนสกุลเงิน แต่ค่าแรงขั้นต่ำกลับแทบไม่ขยับ ทำให้สัดส่วนรายได้ไม่สัมพันธ์กับรายจ่ายอย่างเห็นได้ชัด ปัจจุบันค่าครองชีพในสปลิทจึงสูงพอ ๆ กับเมืองใหญ่ในยุโรปตะวันตก ทั้งที่รายได้เฉลี่ยของคนท้องถิ่นไม่ได้เทียบเท่ากันเลย ทำให้ฉันรู้สึกว่าการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ กับสปลิท โครเอเชียไม่ต่างกันมากนัก เพียงแค่มีบรรยากาศที่แตกต่างกันแค่นั้นเอง

ลองดูค่าครองชีพในโครเอเชียเพิ่มเติมได้ที่ ค่าครองชีพในโครเอเชีย: คุณต้องใช้เท่าไหร่ต่อเดือนในปี 2025?

7. ปัญหาการย้ายถิ่นของคนหนุ่มสาว (Brain Drain)

น้อยมากที่เราจะเดินไปซุปเปอร์หรือร้านอาหารแล้วจะเจอแต่พนักงานวัยรุ่น เด็ก ๆ มาทำงานพาร์ทไทม์กัน ส่วนมากแทบจะเป็นพนักงานวัยเกษียณ หรือคุณป้าคุณลุงที่คอยมาดูแล หรือหากเป็นในเมืองสปลิทก็พอมีให้เห็นอยู่บ้างแต่จริง ๆ แล้วก็แทบจะไม่มีใครเป็นคนโครเอเชียเลย ส่วนมากก็จะเป็นคนบอสเนียที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาหาเงิน เพราะบอสเนียเองก็แทบจะไม่มีงานให้ทำ แถมโครเอเชียยังรายได้ดีกว่า แต่ขณะเดียวกัน หนุ่มสาวโครเอเชียก็ย้ายออกนอกประเทศไปทำงานแทบเยอรมันนีหรืออสเตรีย เพื่อหางานที่ดีกว่า และมีค่าแรงสูงกว่า

ดังนั้น หากคุณอ่านทุกบทความที่ฉันเขียนเกี่ยวกับโครเอเชียมา คุณอาจจะรู้สึกได้ว่าทำไมไม่ค่อยมีการพูดถึงเพื่อน ๆ วัยเดียวกันเลย มีแต่จะพูดถึงคุณลุง ป้า ตายายเสียมากกว่า นั่นก็เพราะการใช้ชีวิตประจำวันของฉัน แทบไม่เจอหนุ่มสาวคนโครเอเชียแท้ ๆ เลยแม้แต่คนเดียว

8. ที่นี่มีงานให้ทำตามฤดูกาลท่องเที่ยว พบเจอผู้คนใหม่ ๆ แต่เหงาในหน้านาว

ที่นี่มีงานให้ทำตามฤดูกาลท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยเฉพาะสายบริการอย่างโรงแรม ร้านอาหาร บาร์ หรือบริษัททัวร์ เพราะสปลิทเป็นเมืองที่พึ่งพาการท่องเที่ยวอย่างเต็มตัว ช่วงฤดูร้อนงานจะเยอะจนทำแทบไม่ทัน ทั้งสนุกทั้งได้เจอผู้คนใหม่ ๆ จากทั่วโลก บรรยากาศจะคึกคักแบบเอาเป็นเอาตายทุกวัน แต่พอเข้าหน้าหนาว เมืองจะเงียบลงราวกับมีคนปิดสวิตช์ จนรู้สึกได้ทันทีว่าจังหวะชีวิตเปลี่ยนไปอีกแบบ

ข้อดีคือรูปแบบงานแบบนี้เหมาะกับคนไทยหลายคนที่อยากทำงานช่วงหนึ่งแล้วเก็บเวลาท่องเที่ยวช่วงหนึ่ง คล้ายไลฟ์สไตล์คนยุโรปที่ทำงานหนักในซัมเมอร์และพักจริงจังในฤดูหนาว เพียงแต่สิ่งที่ต้องวางแผนให้ดีคือ การบริหารเงินเก็บ เพราะรายได้หลักจะมาจากช่วงซัมเมอร์ ถ้าแบ่งไม่ดี อาจใช้ไม่พอจนถึงฤดูกาลท่องเที่ยวรอบถัดไปได้

Advertisement

9. ราคาของชำยิ่งใกล้เขตท่องเที่ยว ยิ่งแพงหูฉี่

ในสปลิทยิ่งอยู่ใกล้โซนท่องเที่ยว ราคาของชำยิ่งพุ่งแบบไม่เกรงใจใครเลย ของพื้นฐานอย่างผัก ผลไม้ นม ไข่ หรือแม้แต่ขนมปัง สามารถแพงขึ้นได้เป็นเท่าตัวแค่เพราะอยู่ “ใกล้ริว่า” หรืออยู่ในเขตเมืองเก่า ยิ่งเป็นร้านสะดวกซื้อเล็ก ๆ ตามตรอกซอกซอยยิ่งราคาแรงกว่าในซุปเปอร์ใหญ่ ๆ มาก แบบที่คนท้องถิ่นยังบ่นกันเป็นเรื่องปกติ

สำหรับฉัน ตอนแรกยังงงว่าทำไมซื้อน้ำดื่มที่ร้านใกล้บ้านราคาไม่กี่ยูโร แต่พอเดินเข้าไปในโซนท่องเที่ยวกลับโดดไปเกือบสองเท่า เหมือนเป็นอีกประเทศในระยะเดินไม่กี่ร้อยเมตร ยิ่งเป็นครีมกันแดดราคายิ่งพุ่งไปเกือบสิบเท่าในทุกโซน แม้แต่ใกล้ชุมชน จนเกิดเป็นเทรนด์ว่า คนโครเอเชียต้องซื้อครีมกันแดดตุนกันในหน้าหนาว เพราะหน้าร้อนแม้แต่มหาเศรษฐีก็ไม่อยากจะซื้อเลย

ที่อยู่อาศัย สภาพแวดล้อม และการเดินทาง

10. การย้ายที่อยู่บ่อย ๆ คือเรื่องปกติของคนสปลิทจริง ๆ 

พออยู่ไปสักพักฉันถึงได้รู้ว่า ไม่ใช่แค่ชาวต่างชาติอย่างเราหรอกที่ต้องย้ายบ้านบ่อย ๆ แต่แม้แต่คนสปลิทเองก็เจอปัญหาเดียวกัน เพราะเมืองนี้มี “สงครามที่พักอาศัย” ที่สู้กันระหว่างคนท้องถิ่นกับ Airbnb ช่วงฤดูร้อนเจ้าของอพาร์ตเมนต์เกือบทุกคนเลือกปล่อยเช่ารายวันให้ท่องเที่ยว เพราะรายได้ดีกว่าแบบเทียบกันไม่ติด ทำให้ต้องคอยย้ายของออกในช่วงเมษายน-พฤษภาคมแล้วออกอยู่ในเมืองกันหมด

neighborhood Split
คนที่สปลิทย้ายบ้านกันบ่อยมากๆ เพราะช่วงฤดูร้อน ที่พักจะขึ้นราคาสูงมากๆ เพราะเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว

ฉันเองก็เคยเจอสถานการณ์นี้เหมือนกัน ช่วงแรกคิดว่าหาห้องเช่าแบบยาว ๆ คงไม่ยาก แต่พอมาอยู่จริงถึงเข้าใจว่า “ฤดูหนาว” คือ Golden Time ของการหาบ้าน เพราะเจ้าของยังเปิดให้เช่าระยะยาวอยู่บ้าง แต่เอาจริง ๆ ก็ย้ายทุกสามเดือนอยู่เหมือนกัน เรียกได้ว่า ย้ายเข้ายังไม่ทันเสร็จก็ต้องรีบมองหาบ้านหลังต่อไปก่อนจะเต็ม ต้องบอกตามตรงว่ามันเป็นความวุ่นวายที่ทั้งเหนื่อย แต่ก็ทำให้เราได้เข้าใจชีวิตของคนเมืองนี้มากขึ้นจริง ๆ 

11. สปลิทมีแสงแดดและอากาศสดใสเกือบตลอดปี แต่ฤดูหนาวคือพายุโหมกระหน่ำ

หนึ่งในสิ่งที่ฉันหลงรักสปลิทตั้งแต่แรกเลย คือที่นี่มีแสงแดดสดใสแทบทั้งปี แบบเดินออกจากบ้านปุ๊บก็เห็นฟ้าสีฟ้าเข้ม ๆ จนลืมไปเลยว่าอยู่ยุโรป ที่นี่ฤดูร้อนสั้นก็จริง แต่ร้อนแบบกำลังดีและอากาศโล่ง แดดแรงแต่ไม่อึดอัด ทำให้เมืองทั้งเมืองมีชีวิตชีวา ผู้คนเดินเล่นริมทะเล ร้านกาแฟเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และทุกวันเหมือนวันหยุดเล็ก ๆ ของตัวเอง แม้แต่ช่วงใบไม้ผลิหรือใบไม้ร่วงก็ยังมีวันอุ่น ๆ ให้ได้ออกไปนั่งรับแดดอยู่เสมอ

แต่พอเข้าสู่ฤดูหนาว…มันเหมือนอีกโลกหนึ่งเลย ความเงียบเข้ามาแทนที่ และสิ่งที่ทำให้ฤดูหนาวที่นี่ดู “ดุ” ไม่ใช่หิมะ แต่คือลมโบรา (Bura) ที่โหมลงมาจากภูเขาอย่างไม่ให้ตั้งตัว ลมแรงจนรู้สึกเหมือนทั้งเมืองสั่นไปด้วย บางวันแทบเดินไม่ไหว ฉันเองก็เคยออกไปซื้อของแล้วต้องถอยกลับเข้าบ้าน เพราะลมตีจนแทบลืมตาไม่ได้ แม้อุณหภูมิจะไม่ถึงขั้นติดลบ แต่ความหนาวของลมนี่แหละที่ทำให้รู้สึกเหมือนถูกพายุถล่มอยู่ตลอดเวลา 

12. เมืองที่มี 2 ด้าน ระหว่าง “สปลิทเมืองปาร์ตี้” กับ “สปลิทเมืองพักผ่อน”

สปลิทเป็นเมืองที่มีสองบุคลิกชัดเจนมาก แบบที่บางทีฉันยังงงตัวเองว่าอยู่เมืองเดียวกันจริงไหม เพราะพอเดินอยู่ในตัวเมืองหรือริมทะเล คุณจะเห็นภาพผู้สูงวัยนั่งจิบกาแฟคุยกันแบบเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ เหมือนโลกหยุดหมุน ทุกคนดูนิ่ง สงบ และใช้ชีวิตช้าอย่างตั้งใจ ชีวิตที่นี่เหมาะกับคนที่อยากพักผ่อนแบบลึก ๆ จริง ๆ นั่งมองทะเล ปล่อยเวลาผ่านไปเฉย ๆ  

แต่แค่คุณข้ามไปอีกมุมของเมือง หรือกระโดดขึ้นเรือไปยังเกาะรอบ ๆ อย่าง Hvar หรือ Brač ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปคนละโลกทันที ฉันยังจำครั้งแรกที่ไป Hvar ได้ดี เหมือนหลุดไปในแดนปาร์ตี้ของเด็กวัยรุ่นทั้งยุโรป ทั้งบาร์ริมหาด คลับเปิดยันเช้า เสียงเพลง EDM กระแทกหัวใจจนไม่ต้องดื่มอะไรก็แทบเต้นเองแบบอัตโนมัติ มุมนี้ของสปลิทคือสนามเด็กเล่นของวัยคึกคะนองที่อยากสนุก ชอบพบคนใหม่ และพร้อมใช้พลังงานให้หมดวันต่อวัน

มันเลยกลายเป็นเสน่ห์แบบสองขั้วของสปลิท เมืองที่ตอนเช้าเหมาะกับการพักใจ แต่ตอนเย็นถ้าขยับไปไม่ไกล คุณก็สามารถหลุดไปอยู่ในโลกปาร์ตี้แบบไม่รู้ตัว 

13. ระบบขนส่งสาธารณะพอใช้ แต่ต้องมีรถถ้าอยู่ไกล

ถ้าให้เล่าตามความรู้สึกของฉันที่อยู่สปลิทจริง ๆ ระบบขนส่งสาธารณะที่นี่ถือว่า “พอใช้” แต่ไม่ถึงกับสะดวกจนนั่งสบายใจได้เหมือนบางเมืองในยุโรป หากอยู่ในเขตเมืองเก่าหรือบริเวณริว่า คุณแทบไม่ต้องใช้รถบัสเลย เพราะทุกอย่างเดินถึงกันง่ายมาก แบบเดินแป๊บเดียวก็เจอซูเปอร์ ท่าเรือ ร้านกาแฟ ครบทุกอย่าง เหมือนเมืองถูกออกแบบมาให้ใช้เท้าเป็นหลักมากกว่าอะไรทั้งหมด

แต่พอคุณเริ่มขยับออกจากโซนใจกลางเมือง แค่เลยเนินเขาไปนิดเดียว ทุกอย่างจะเปลี่ยนทันทีค่ะ รถบัสยังมีวิ่งอยู่ แต่รอบมักห่างและมาไม่ค่อยตรงเวลา โดยเฉพาะตอนค่ำ ๆ ที่บางทีรอจนลมทะเลพัดจะพาเรากลับบ้านอยู่แล้วก็ยังไม่มา ฉันเองเคยพยายามใช้รถบัสช่วงแรก ๆ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้และเช่ารถ เพราะถ้าบ้านคุณอยู่บนเขา หรืออยากไปที่เที่ยวห่าง ๆ หน่อย รถส่วนตัวคือคำตอบเดียวจริง ๆ ที่จอดก็หายากและแพง แต่ก็ยังง่ายกว่าการรอบัสครึ่งชีวิตอยู่ดี 

อาหาร กาแฟ และการดูแลสุขภาพ

14. กาแฟเน้นความเข้มข้น ไม่ใช่ความสร้างสรรค์

ถ้าอยู่สปลิทมาสักพัก คุณจะรู้เลยว่าการ “ไปดื่มกาแฟ” ที่นี่มันไม่เหมือนที่อื่นเลยสักนิด ฉันเองก็เคยคิดว่าร้านกาแฟต้องมีเมนูครีเอติฟเป็นสิบ ๆ อย่าง แต่พอย้ายมาอยู่จริงถึงได้เข้าใจว่า ที่นี่เขาไม่ได้อินกับเมนูแฟนซีเท่าไหร่ แต่ให้ความสำคัญกับความเข้มและความเรียบง่ายต่างหาก อย่างเอสเพรสโซ คือ พระเอกตัวจริงของเมืองนี้ ไม่ว่าจะเป็นช็อตตรง ๆ มัคคิอาโต้ที่มีฟองนมนิดเดียว หรือกาแฟขาวแบบดั้งเดิม ทุกอย่างจะเน้นแน่น เข้ม และชัดเจน แบบที่คนโครเอเชียเชื่อว่า “กาแฟต้องมีตัวตน” ไม่ใช่น้ำหวานใส่ไซรัปหอม ๆ 

เวลาฉันไปคาเฟ่กับเพื่อนบ้าน พวกเขาไม่ได้มานั่งลุ้นว่าเมนูใหม่สัปดาห์นี้คืออะไร แต่เน้นการนั่งคุย นั่งมองผู้คน และปล่อยตัวเข้าโหมด fjaka ศิลปะของการไม่ทำอะไรเลย กาแฟเป็นแค่ตัวประกอบที่ช่วยให้การนั่งคุยเรื่อย ๆ มันมีเหตุผลเท่านั้นเอง แน่นอนว่าสปลิทก็เริ่มมีร้าน specialty ที่ทันสมัยขึ้นบ้างแล้ว เช่น D16 หรือ Tinel สำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากลองอะไรต่างไป แต่โดยรวม วัฒนธรรมกาแฟที่นี่คือความเรียบง่ายที่เต็มไปด้วยความตั้งใจ เข้มแต่สุภาพ เงียบแต่ลึก และเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันได้เป็นส่วนหนึ่งของเมืองนี้จริง ๆ 

15. อาหารฟาสต์ฟู้ดไม่ใช่ทางเลือกราคาถูก

อยู่สปลิทไปนาน ๆ จะรู้เลยว่าฟาสต์ฟู้ดอย่าง McDonald’s หรือ KFC ไม่ได้เป็นตัวเลือกง่าย ๆ และถูก ๆ แบบที่เราคุ้นเคยจากบ้านเรา เพราะสาขาพวกนี้มักกระจุกอยู่ใน Mall of Split ไกลจากโซนเมืองเก่าที่เราใช้ชีวิตกันจริง ๆ แถมราคาก็ไม่ได้เป็นมิตรกับกระเป๋าตังสักเท่าไหร่ เลยกลายเป็นว่า เวลาฉันอยากหาอะไรง่าย ๆ กินเร็ว ๆ ฉันแทบไม่เคยนึกถึงฟาสต์ฟู้ดเลย กลับกันสิ่งที่ตอบโจทย์จริง ๆ มักเป็นร้านเล็ก ๆ ใกล้บ้านมากกว่า

soup in Croatia
ฉันไม่ค่อยกินอาหาร Fast Food เท่าไหร่ตอนอยู่สปลิท แต่จะกินพวกขนมปังกับซุปท้องถิ่นมากกว่า

อย่างเช่น Pekara หรือร้านเบเกอรี่ท้องถิ่นที่มีอยู่ทุกหัวมุม บูเร็กไส้ชีสร้อน ๆ ชิ้นหนึ่งก็เอาอยู่แล้วในวันที่รีบ หรือถ้าหิวจริง ๆ ก็เดินเข้าคอนอบาแถวตลาด หยิบเมนู Marenda แบบบ้าน ๆ ที่ให้เยอะและราคาไม่แรงแถมอร่อยจนเหมือนกินข้าวที่บ้านใครสักคน อาหารท้องถิ่นเหล่านี้กลายเป็น “ฟาสต์ฟู้ดตัวจริง” ของคนสปลิท เพราะมันอยู่ใกล้กว่า คุ้มกว่า และให้ความรู้สึกว่าคุณกำลังกินเหมือนคนในเมืองนี้จริง ๆ มากกว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวที่เพิ่งเดินหลงเข้า Mall ไปหาเบอร์เกอร์ที่หากินได้ทั่วทุกมุมโลก

16. คนในสปลิทชอบกินพริกหยวก

คนที่อยู่สปลิทมักจะพูดเล่นกันว่า “ถ้าบ้านไหนไม่มีกระปุกพริกหยวกบด แปลว่าบ้านนั้นไม่ได้อยู่โครเอเชียจริง ๆ ” เพราะพริกหยวกเป็นเหมือนลายเซ็นของอาหารที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นสตูว์แบบบ้าน ๆ หรืออาหารจานด่วนในวันเหนื่อย ๆ ผงพริกหยวกสีแดงสดจะถูกโรยลงไปเสมอ มันให้ทั้งกลิ่นที่อบอุ่นและความรู้สึกคุ้นเคยแบบที่ทำให้คิดถึงบ้านทันที ยิ่งช่วงเย็นอากาศเย็น ๆ เดินผ่านครัวใครแล้วได้กลิ่นกูลาชหอม ๆ นี่รู้เลยว่าเมนูวันนั้นมีพริกหยวกแล้วอย่างน้อยหนึ่งหม้อ

ส่วนพริกหยวกสดก็เป็นอีกอย่างที่คนสปลิทชอบมาก โดยเฉพาะเมนู Punjena paprika หรือพริกหยวกยัดไส้ ที่แทบทุกบ้านจะมีสูตรลับของตัวเอง บางบ้านใส่เนื้อแบบแน่น ๆ บางบ้านเน้นข้าวให้ฟูกินง่าย แล้วก็ตุ๋นในซอสมะเขือเทศจนซึมเข้าเนื้อแบบหอมทั้งบ้าน เวลาได้กินมันจะมีความรู้สึกโล่งใจเหมือนได้พักใจหลังวันยาว ๆ และแม้สปลิทจะขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเล แต่พริกหยวกนี่แหละคือรสชาติที่ต้องมีทุกบ้าน

17. เบียร์ Ožujsko ไม่ดื่มเหมือนไปไม่ถึงโครเอเชีย

ในสปลิท เบียร์ไม่ได้เป็นแค่เครื่องดื่ม แต่มันคือ “ข้ออ้างให้เราได้นั่งคุยกันนาน ๆ ” มากกว่า Ožujsko กับ Karlovačko คือคู่หูที่อยู่ในทุกโต๊ะ เบา สดชื่น และดื่มง่ายจนเหมาะกับอากาศริมทะเลแบบไม่ต้องคิดมาก เวลาเพื่อนชวนว่า ajmo na pivo มันไม่ใช่คำชวนให้ไปเมา แต่เหมือนชวนให้ไปนั่งพัก หายใจลึก ๆ มองฟ้าคราม แล้วปล่อยใจสบาย ๆ หรือเราจะไปดื่มริมชายหาดก็ยังได้เลย

แต่ช่วงหลัง ๆ ฉันเริ่มเห็นวัฒนธรรมเบียร์ในสปลิทกำลังโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะฝั่งคราฟต์เบียร์ที่มาแรงแบบเงียบ ๆ โรงเบียร์เล็ก ๆ อย่าง LAB Split ทำให้เมืองนี้มีตัวเลือกสนุก ๆ เพิ่มขึ้น ทั้ง IPA หอมฮอป หรือ Stout เข้ม ๆ ที่คนรุ่นใหม่ชอบลองกัน บาร์เฉพาะทางก็ผุดขึ้นตามซอยเก่า ๆ แบบน่ารัก ๆ มีเบียร์หมุนเวียนสไตล์แปลกใหม่ให้จิบทุกครั้งที่แวะไป สุดท้ายแล้ววัฒนธรรมเบียร์ของสปลิทมันเลยออกมาเป็นภาพผสมที่อบอุ่นดี เบียร์ลาเกอร์เย็นเจี๊ยบที่โตมากับเรา กับคราฟต์เบียร์ที่ช่วยเติมสีสันให้เมืองชายทะเลแห่งนี้มีชีวิตชีวามากขึ้น

18. การดูแลสุขภาพเหมือนเขาวงกตของการหาหมอประจำตัว 

การใช้ชีวิตในสปลิททำให้ฉันได้เรียนรู้ว่าเรื่องสุขภาพที่นี่มันไม่ต่างอะไรจากการเดินเข้าไปในเขาวงกตเงียบ ๆ ริมทะเล คุณจะไปหาหมอเฉพาะทางไม่ได้เลย ถ้ายังไม่มีหมอประจำตัว (GP) คอยเป็น “ประตูด่านแรก” ให้ก่อน ซึ่งพูดตรง ๆ คือกว่าจะหาหมอที่รับคนไข้ใหม่ได้ก็ต้องอาศัยทั้งเวลา ทั้งความอดทน และบางครั้งก็ต้องโทรตามเป็นสัปดาห์ พอได้ GP แล้ว ทุกอย่างก็ยังไม่จบ เพราะต่อให้คุณรู้ว่าเจ็บอะไร ต้องการหมอเฉพาะทางคนไหน คุณก็เดินไปหาด้วยตัวเองไม่ได้อยู่ดี ต้องรอใบส่งตัวจาก GP เสมอ

เพราะแบบนั้นคนท้องถิ่นหลายคนรวมถึงฉันเอง ถึงเลือกพึ่งประกันเอกชนควบคู่ไปด้วย โรงพยาบาลเอกชนที่นี่สะอาดแบบสบายใจได้ ห้องตรวจไม่อึดอัด และที่สำคัญคือพูดภาษาอังกฤษได้คล่องกว่าเยอะ ทำให้ทุกอย่างลื่นไหลขึ้นมาก คุณสามารถนัดหมอเฉพาะทางได้เลย ไม่ต้องวนกลับไปขอใบส่งตัวก่อนให้เหนื่อยใจ ถ้าอยากรักษาให้จบเร็ว แบบไม่ต้องเดินหลงอยู่ในเขาวงกตนานเกินไป ประกันเอกชนคือทางออกที่หลายคนในสปลิทยอมรับว่าสบายกว่าอย่างไม่ต้องคิดมากเลยค่ะ

ความปลอดภัย และกิจกรรมกลางแจ้ง

19. เดินเล่นชิล ๆ ได้ทั้งวัน ปลอดภัยแม้ฟ้ามืด

แม้สปลิทจะเป็นเมืองท่องเที่ยวใหญ่ แต่ในชีวิตประจำวันมันกลับรู้สึกปลอดภัยมากกว่าที่คิด ฉันเดินกลับบ้านตอนค่ำอยู่บ่อย ๆ โดยไม่เคยรู้สึกว่าต้องคอยหันหลังมอง ใคร ๆ ก็ใช้ชีวิตกันแบบสบายใจ อาชญากรรมรุนแรงแทบไม่ค่อยเกิดขึ้น ที่ต้องระวังจริง ๆ คือพวกมิจฉาชีพล้วงกระเป๋าตามตรอกซอกซอยของเมืองเก่า โดยเฉพาะช่วงที่นักท่องเที่ยวแน่นจนไหลไปตามถนนเหมือนสายน้ำในฤดูร้อน

แต่อีกมุมหนึ่ง ความขัดแย้งเฉพาะจุดก็ใช่ว่าจะไม่มี โดยมากจะมาจากเรื่องฟุตบอลหรืออารมณ์ที่พุ่งขึ้นหลังดื่มหนักตามบาร์บางแห่ง ถ้าเห็นกลุ่มคนเฮฮาเสียงดังเกินไป ฉันมักจะเลือกเดินอ้อมบาร์หรือแหล่งปาร์ตี้นิดหน่อยเพื่อความสบายใจ ไม่ใช่เพราะเมืองไม่ปลอดภัย แต่แค่เซฟตัวเองไว้อุ่นใจกว่า

20. แหล่งรวมตัวของคนรักกิจกรรมทางน้ำ

สปลิทเป็นเมืองที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปในจังหวะของทะเลตั้งแต่เช้าจรดเย็น บางวันฉันแค่เดินผ่านท่าเรือกลางเมืองก็เห็นทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นต่อแถวขึ้นเรือไป Hvar หรือ Brač เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาไม่ต่างจากการนั่งรถเมล์ ซึ่งมันเป็นสเน่ห์ของสปลิท เพราะเป็นเมืองที่ท่าเรืออยู่ติดเมืองเก่าและหมู่เกาะดัลเมเชียรายรอบกลายเป็นสนามเด็กเล่นธรรมชาติสำหรับทุกวัย อีกทั้งยังมีน้ำทะเลใสและอ่าวสวย ๆ รอบเกาะ Vis หรือ Korčula ทำให้หลายคนเลือกใช้วันหยุดแบบ ขึ้นเรือแล้วไปเล่นน้ำมากกว่าการขับรถเที่ยวเสียอีก

ยิ่งอยู่ไปนาน ๆ คุณจะยิ่งรู้ว่ากิจกรรมทางน้ำไม่ใช่เรื่องพิเศษ แต่มันคือวิถีชีวิตที่ฝังอยู่ในลมหายใจของเมืองนี้ ตั้งแต่การออกเรือยอชต์ไปนอนค้างบนเกาะ พายคายัคชมพระอาทิตย์ตกที่ Marjan Hill ดำน้ำดูโลกใต้ทะเลใสราวกระจก ไปจนถึงเล่น Picigin ที่ชายหาด Bačvice ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติและเข้าถึงง่ายอย่างเหลือเชื่อ

21. ปอดของเมือง Marjan Hill

มาร์ยันฮิลล์เป็นเหมือนเพื่อนเก่าที่ชาวสปลิทพึ่งพิงเสมอ เวลาไปที่นี่ทีไรจะรู้สึกเหมือนได้หายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด และได้หลบความวุ่นวายในเมืองเก่า ฉันเองมักเดินขึ้นไปทาง Vidilica ในตอนเช้า ลัดเลาะไปตามบ้านคนไปเรื่อย ๆ  พอขึ้นไปถึงด้านบนจะเห็นหลังคาแดงของสปลิท ทะเลเอเดรียติกที่ทอดยาวไปไกล และหมู่เกาะที่ลอยอยู่บนขอบฟ้า เป็นภาพที่ทำให้เข้าใจทันทีว่าทำไมคนท้องถิ่นถึงหลงรักที่นี่และมาพักผ่อนกันเป็นประจำ

Marjan Hill
ฉันชอบไปปีนเขามาร์ยันฮิลล์เวลาว่าง เพราะเหมือนกับเป็นปอดของที่นี่ และวิวข้างบนบอกได้เลยว่าสวยมากๆ

และความงามของมาร์ยันไม่ได้มีแค่บนยอดเขาเท่านั้น รอบคาบสมุทรเต็มไปด้วยเส้นทางเดินป่า ชายหาดน้ำใสอย่าง Bene และ Kašjuni ที่คนสปลิทชอบแวะไปว่ายน้ำหลังเลิกงาน รวมถึงโบสถ์เก่าแก่ที่ซ่อนตัวอยู่ตามไหล่เขาแบบที่คุณจะเจอโดยไม่ตั้งใจ มาร์ยันจึงไม่ใช่เพียง “ปอดของเมือง” แต่เหมือนเป็นหัวใจของคนท้องถิ่น ที่ผสมผสานระหว่าธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และชีวิตประจำวันเข้าไว้ด้วยกัน

22. ระบบราชการที่ช้ากว่าประเทศไทย

ถ้าพูดถึงงานราชการในสปลิท คนไทยอย่างเราต้องทำใจก่อนเลยว่ามันจะช้า แบบช้ามาก และระบบทุกอย่างเต็มไปด้วยขั้นตอนที่ยุ่งยากพอให้หัวหมุนได้ง่าย ๆ การต่อวีซ่า หรือต่อใบอนุญาตพำนักที่ MUP เหมือนเป็นบททดสอบความอดทนอย่างแท้จริง ทั้งคิวที่เริ่มยาวตั้งแต่ยังไม่เปิดทำการ เจ้าหน้าที่บางคนไม่พูดอังกฤษ แถมมักจะขอเอกสารเพิ่มแบบไม่ทันตั้งตัว ทำผิดนิดเดียวคือโดนให้ไปเริ่มใหม่ได้เลย ฉันเองเคยเดินวนสามรอบเพราะลืมถ่ายสำเนาหนึ่งใบ จนจำได้ขึ้นใจว่า อย่าประมาทระบบราชการโครเอเชียเป็นอันขาด ต้องเช็คแล้วเช็คอีกเพื่อไม่ให้เสียเวลามากเกินไป

สุดท้ายเลยต้องปรับตัวใหม่หมด เรียนรู้ว่าต้องเตรียมเอกสารแบบจัดเต็ม เผื่อไว้ทุกอย่างเท่าที่คิดได้ ไปถึงก่อนเวลาเปิดทำการเสมอ และทำใจให้สบายเข้าไว้ เพราะถ้าใจร้อนก็มีแต่จะเหนื่อยเพิ่ม เปรียบง่าย ๆ คือ ระบบราชการที่นี่ไม่ต่างจากสลอตที่ต้องเดินแบบใจเย็น ไม่รีบ และพร้อมสำหรับบททดสอบลับเสมอ พอเข้าใจจังหวะของเมืองนี้แล้ว ทุกอย่างก็จะไปได้เรื่อย ๆ ในแบบสปลิท ช้าแต่ก็เป็นสไตล์โครแอตเลย

สรุปไม่มีอะไรน่ากลัว ถ้าใจเราพร้อมจะออกไปใช้ชีวิต

หลังจากอยู่สปลิทมาระยะหนึ่ง ฉันได้เรียนรู้ว่าเมืองนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรน่ากลัวเกินกว่าจะรับมือได้เหมือนกัน ตั้งแต่ระบบราชการที่ช้า คนท้องถิ่นที่ตรงไปตรงมาเกินคาด ไปจนถึงค่าครองชีพที่สูงขึ้น ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตต่างบ้านต่างเมือง ซึ่งสุดท้ายแล้วก็กลายเป็นประสบการณ์ที่ทำให้ฉันแข็งแรงขึ้น มองโลกกว้างขึ้น และใจเย็นขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต

สปลิทสอนให้ฉันรู้ว่า ไม่มีเมืองไหน “เหมาะสมที่สุด” สำหรับใครทุกคนหรอก แต่ทุกเมืองจะกลายเป็นบ้านของเราได้ ถ้าเรากล้าก้าวออกจากความคุ้นเคย และเปิดใจให้เรื่องใหม่ ๆ ที่ชีวิตจะพาเข้ามา ถ้าคุณกำลังลังเลว่าจะย้ายเมืองดีไหม ฉันอยากบอกว่า ลองออกไปใช้ชีวิตดู มันอาจไม่ได้ง่าย แต่จะเต็มไปด้วยเรื่องเล่าที่ไม่มีวันลืม และคุณจะได้รู้จักตัวเองในแบบที่อยู่เมืองเดิมทั้งชีวิตก็อาจไม่เคยได้รู้มาก่อน

ขอให้การเดินทางของคุณ…เป็นทั้งครู เพื่อน และของขวัญในเวลาเดียวกัน

Rattima Korwisedchai
ใช้ชีวิตในโครเอเชียตลอดปี 2024 และได้สัมผัสวิถีชีวิตประจำวันจริงๆ ที่เหนือกว่าสิ่งที่นักท่องเที่ยวเห็น ปัจจุบันเขียนบทความให้เว็บไซต์ต่างประเทศเกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐาน ไลฟ์สไตล์ และการทำงานแบบดิจิทัล
อ่านในภาษาอื่น
บทความนี้มีให้บริการในภาษา: