
สวัสดีครับ เชื่อว่า หลายคนมีความคิดที่อยากจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในต่างแดน แต่การย้ายถิ่นฐาน ไม่ใช่เรื่องของความฝันและแรงบันดาลใจเท่านั้นนะครับ แต่มันคือการตัดสินใจที่มาพร้อมแผนที่ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อปลายทางคือ “สหรัฐอเมริกา” ดินแดนแห่งโอกาสที่หลายคนใฝ่ฝันจะมาใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเพื่อเรียน ทำงาน หรือเริ่มต้นชีวิตใหม่ในระยะยาว
แต่ก่อนจะเก็บกระเป๋า ผมอยากจะบอกให้ทุกคนรู้ก่อนว่า “ค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตที่นี่” ไม่ได้เหมือนในหนังหรือซีรีส์ที่เคยดูนะ หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ คือ ค่าครองชีพที่อเมริกาค่อนข้างแพง เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลกเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่า การที่เราจะย้ายไปอยู่ที่ประเทศนี้ เราต้องวางแผนการเงินเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นค่าบ้าน ค่าประกัน ค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค ค่าใช้จ่ายในครอบครัว ค่าเดินทาง และอีกหลายค่าใช้จ่ายที่ตามมาในการใช้ชีวิต
บทความนี้ผมจะพาไปดูภาพรวมค่าใช้จ่ายสำคัญในการใช้ชีวิตที่อเมริกา แบบชัด ๆ เข้าใจง่าย เพื่อให้สามารถวางแผนได้อย่างมั่นใจ และใช้ชีวิตได้อย่างที่ตั้งใจไว้จริง ๆ พร้อมแล้ว ไปดูค่าใช้จ่ายกันเลยครับ
บทความนี้ใช้เวลาอ่านประมาณ 38 นาที ยังไม่มีเวลาอ่านตอนนี้เหรอ? ไม่เป็นไรเลย คุณสามารถส่งเวอร์ชันบทความแบบไม่มีโฆษณาไปที่อีเมลของคุณ แล้วค่อยอ่านทีหลังก็ได้!
คำชี้แจงเรื่องความโปร่งใส: บทความนี้อาจมีลิงก์ไปยังผลิตภัณฑ์หรือบริการจากพันธมิตรของเรา หากคุณคลิกลิงก์เหล่านั้น เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กน้อย ซึ่งอาจมีผลต่อรูปแบบการจัดวางเนื้อหาบางส่วน อย่างไรก็ตาม โปรดวางใจว่า เราแนะนำเฉพาะสิ่งที่เราเชื่อว่ามีประโยชน์และเหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณจริง ๆ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน นโยบายโฆษณา ของเรา.
Contents
สรุปข้อมูลสำคัญ
- ค่าครองชีพในสหรัฐฯ แตกต่างกันมากตามเมืองและรัฐ นิวยอร์กและลอสแอนเจลิสถือว่าแพงที่สุด ส่วนเมืองระดับกลางอย่างออสตินหรือชิคาโกอาจใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น
- ค่าเช่าที่พักถือเป็นค่าใช้จ่ายหลัก โดยอพาร์ตเมนต์ 1 ห้องนอนอยู่ที่ประมาณ 1,600–2,800 ดอลลาร์/เดือน
- ค่าสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า น้ำ แก๊ส อินเทอร์เน็ต) รวมกันเฉลี่ยราว 300–400 ดอลลาร์/เดือน
- ค่าเดินทางแตกต่างกันตามเมือง ถ้าใช้ขนส่งสาธารณะ เฉลี่ยราว 125–150 ดอลลาร์/เดือน แต่ถ้าขับรถเอง ต้องเตรียมค่าน้ำมันและประกันรวม 400–700 ดอลลาร์/เดือน
- ค่าอาหาร ถ้าทำกินเองส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 350–500 ดอลลาร์/เดือน ถ้ากินนอกบ้านหรือฟาสต์ฟู้ดบ่อย อาจพุ่งถึง 700–1,200 ดอลลาร์/เดือน
- ค่าประกันสุขภาพเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 539–621 ดอลลาร์/เดือน
- หากย้ายมาทั้งครอบครัว ค่าการศึกษา เดย์แคร์ และกิจกรรมเด็ก อาจเพิ่มขึ้นอีกหลายพันดอลลาร์ต่อเดือน
- ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ย:
- งบ 1,500–2,000 ดอลลาร์/เดือน: ใช้ชีวิตแบบประหยัดๆในเมืองรอง
- งบ 2,500–4,000 ดอลลาร์/เดือน: ค่าครองชีพเบื้องต้นสำหรับเมืองใหญ่
- งบ 5,000+ ดอลลาร์/เดือน: สามารถใช้จ่ายแบบสบายๆสำหรับชีวิตประจำวันในทุกเมือง
ค่าที่อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกา
สำหรับคนที่อยากย้ายมาอยู่ในสหรัฐอเมริกา ผมอยากแนะนำค่าใช้จ่ายอันดับแรก ที่ทุกคนต้องเจอเลย นั่นก็คือเรื่อง “ที่พัก” ครับ มาถึงที่นี่แล้ว เรื่องหลักๆ ยังไงก็ต้องมีที่พักเป็นหลักแหล่ง หากต้องอาศัยอยู่ระยะยาว และคำถามสำคัญคือ “จะอยู่แบบไหน?” กับ “ต้องใช้เงินเท่าไร?” ผมได้แยกค่าใช้จ่ายให้เห็นชัดเจนโดยประมาณแล้ว
ค่าเช่าบ้าน
ในครั้งแรกที่ผมไปที่อเมริกาเมื่อหลายปีก่อนนั้น ผมเช่าห้องอยู่กับเพื่อนอยู่ชาญเมือง Texas โดยห้องที่ได้เป็นแค่ห้องเล็กๆ ขนาดประมาณ 30 ตารางเมตร ข้างในมีแค่เตียง 2 เตียง เครื่องปรับอากาศ และห้องน้ำ แค่นั้นเอง โดยตอนนั้นผมจ่ายไปเดือนละประมาณ US$400 สำหรับห้องนี้ ซึ่งเรียกได้ว่าค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับห้องที่ได้ (ถ้าเป็นที่ไทย งบประมาณนี้ผมเช่าคอนโดดีๆในตัวเมืองได้เลย)
แต่ถ้าเป็นในตัวเมืองนั้น ค่าเช่าจะแพงขึ้นอย่างมาก ซึ่งค่าเฉลี่ยเช่าบ้านในอเมริกาโดยเฉลี่ยแล้วจะประมาณนี้
- บ้านเดี่ยว 1-2 ห้องนอน ค่าเช่าโดยเฉลี่ยทั่วประเทศประมาณ 1,400 – 2,223 ดอลลาร์ต่อเดือน
- บ้านเดี่ยว 3 ห้องนอน ค่าเช่าโดยเฉลี่ยทั่วประเทศประมาณ 2,200-3,100 ดอลลาร์ต่อเดือน
- บ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ 4 ห้องนอนขึ้นไป ค่าเช่าโดยเฉลี่ยทั่วประเทศประมาณ 2,500- 4,200+ ดอลลาร์ต่อเดือน
แต่ว่าราคาค่าครองชีพ รวมถึงค่าเช่าบ้านแตกต่างกันมากในแต่ละรัฐตามตารางด้านล่างนี้
| เมือง/รัฐ | 1–2 ห้องนอน | 3 ห้องนอน | 4+ ห้องนอน |
|---|---|---|---|
| Texas (Austin) | ~$1,500 | ~$2,400 | ~$3,200 |
| New York City | ~$2,800 | ~$4,500 | ~$6,000+ |
| Ohio (Columbus) | ~$1,000 | ~$1,800 | ~$2,300 |
| Washington (Seattle) | ~$2,000 | ~$3,200 | ~$4,500 |
โดยบ้านส่วนมากในอเมริกา จะเป็น unfurnished ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ให้ *ยกเว้นกรณีบ้านสำหรับเช่าระยะสั้นอาจจะมีแถมให้ครบพร้อมอยู่เครื่องใช้ไฟฟ้ามักมีรวมให้อยู่แล้ว เช่น เตาแก๊ส/ไฟฟ้า ตู้เย็น ไมโครเวฟ เครื่องล้างจาน เครื่องปรับอากาศ / ฮีตเตอร์ เครื่องซักผ้า / อบผ้า (มักอยู่ในบ้านเลย) และมีสิ่งอำนวยความสะดวกเฉพาะบ้าน เช่น โรงรถ สนามหญ้าหน้าบ้าน ห้องเก็บของ รวมถึงพื้นที่ BBQ ปาร์ตี้กันได้ด้วยครับ
อย่าลืม: เวลาเช่าบ้านที่อเมริกา อย่าลืมคิดค่ามัดจำบ้านไว้ด้วย โดยเฉลี่ยแล้วคือ 2 เดือนของค่าเช่าบ้าน
ค่าเช่าอพาร์ทเม้นท์
มาถึงคนที่อยากเช่าเป็นอพาร์ทเม้นท์อยู่ สำหรับคนที่มาคนเดียว มาเป็นคู่ หรือครอบครัว ราคากลางของการเช่าอพาร์ทเม้นท์ในปี 2025 นี้ มีราคาโดยเฉลี่ยทั่วประเทศ อยู่ที่ประมาณ 1,600-1800 ดอลลาร์ต่อเดือน ขึ้นอยู่กับขนาดจำนวนห้อง โดยแบ่งเป็น
- สตูดิโอ (Studio) ประมาณ 1,684 ดอลลาร์ต่อเดือน
- 1 ห้องนอน ประมาณ 1,628 ดอลลาร์ต่อเดือน
- 2 ห้องนอน ประมาณ 1,885 ดอลลาร์ต่อเดือน
- 3 ห้องนอน ประมาณ 2,290 ดอลลาร์ต่อเดือน
ซึ่งตัวเลขนี้นั้นเป็นแค่ตัวเลขคร่าวๆ เพราะว่าค่าเช่าในแต่ละรัฐนั้นแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างง่ายๆ หากต้องการเช่าห้องขนาดประมาณ 40 ตารางเมตร หรือ 1 ห้องนอน โดยเฉลี่ยๆแล้ว ค่าเช่าต่อเดือนแบบไม่รวมค่าน้ำค่าไฟจะตกประมาณนี้
- Ohio: 800 – 1,100 ดอลลาร์ต่อเดือน
- Texas: 1,000 – 1,300 ดอลลาร์ต่อเดือน
- Seattle: 1,800 – 2,500 ดอลลาร์ต่อเดือน
- New York: 2,500 – 3,500 ดอลลาร์ต่อเดือน
ราคาที่พูดถึงทั้ง 4 ขนาด จะเป็น unfurnished (ไม่มีเฟอร์นิเจอร์) บางแห่งให้ built-in เช่น ตู้เสื้อผ้า, ชั้นเก็บของ, เคาน์เตอร์ครัว เครื่องใช้ไฟฟ้ามักจะมี ตู้เย็น, เตาอบ, เครื่องล้างจาน (เกือบ 100% มีให้) เครื่องปรับอากาศ/ฮีตเตอร์ (แล้วแต่เมืองและรัฐ) เครื่องซักผ้า/อบผ้า (บางแห่งมีในห้อง, บางแห่งใช้ร่วมกับชั้น) Facilities ส่วนกลาง มักจะมี ฟิตเนส สระว่ายน้ำ ห้องซักรีดรวม Co-working Space พื้นที่ BBQ / สนามหญ้า และ ระบบความปลอดภัย (key card, ล็อกดิจิทัล)
สำหรับคนที่อยากได้ อพาร์ตเมนต์แบบ Furnished (มีเฟอร์นิเจอร์ครบ) จะมีค่าเช่า แพงกว่าแบบ Unfurnished (ไม่มีเฟอร์นิเจอร์) ครับ โดยราคาจะขึ้นมาอีกประมาณ 10-25% ต่อเดือน ขึ้นอยู่กับเมือง ทำเล ขนาดห้อง และคุณภาพของเฟอร์นิเจอร์ที่จัดให้
ราคาบ้าน
หากคุณไม่ต้องการที่จะเช่าบ้านอยู่ การซื้อบ้านอาจจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี หากคุณมีเงินจำนวนมากพอที่จะซื้อได้ จริงๆแล้วการซื้อบ้านในอเมริกานั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อสำหรับคนที่ต้องการจะลงหลักปักฐานอยู่อเมริกาไปยาวๆ เท่านั้น แต่เป็นอีกหนึ่งช่องทางสำหรับการลงทุน ผมเห็นคนหลายๆคนที่มีความรู้เรื่องนี้ ที่ซื้อบ้านตอนมาอยู่ที่อเมริกา แม้จะอยู่แค่ไม่กี่ปี แต่ตอนย้ายออก ก็ทำการขายบ้านและทำกำไรมากมาย ผู้ว่ากรุงเทพเป็นหนึ่งในนั้น ที่ซื้อบ้านให้ลูก ตอนลูกมาเรียนหลังอเมริกา และหลังลูกเรียนจบ ก็ขายบ้านทิ้ง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมไม่ได้หมายความว่าจะให้ทุกคนซื้อบ้าน เพราะทางเลือกนี้เหมาะสำหรับคนที่มีเงินลงทุน และมีความรู้เท่านั้น
โดย ราคาบ้าน “มือสอง” ทั่วประเทศ (ข้อมูลมีนาคม 2025) อยู่ที่ประมาณ 403,700+ ดอลลาร์ ส่วนบ้าน “มือหนึ่ง” อยู่ที่ประมาณ 407,200+ ดอลลาร์ (ข้อมูลเมษายน 2025) ราคานี้ยังไม่รวมดอกเบี้ย ซึ่งในเดือนมิถุนายน 2025 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้บ้านระยะยาว 30 ปีอยู่ที่ 6.84% ทำให้ค่างวดต่อเดือนอยู่ที่ราว ๆ 2,100 ดอลลาร์ (ถ้าคุณวางเงินดาวน์ 20%) และอย่าลืมว่ายังมีภาษีทรัพย์สิน ค่าประกัน ค่าส่วนกลาง (HOA) ที่บวกขึ้นไปอีก
ซึ่งแน่นอนว่า ราคาบ้านแตกต่างอย่างมากในแต่ละรัฐ และรวมถึงทำเลก็ส่งผลต่อราคาบ้าน
แม้ค่าผ่อนบ้านจะดูสูงกว่าเช่า แต่ข้อดีของการเป็นเจ้าของคือ “คุณได้ถือครองสินทรัพย์” ที่มีโอกาสเพิ่มมูลค่าในระยะยาว ครอบครัวมีพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น สามารถตกแต่ง ปรับปรุงบ้านได้ตามใจ และเหมาะสำหรับคนที่อยากเลี้ยงสัตว์ด้วย
ค่าสาธารณูปโภค
เมื่อมีค่าเช่าหรือค่าซื้อบ้านแล้ว มันยังไม่ได้จบเท่านั้น แน่นอนว่า ต้องมีค่าใช้จ่ายที่หมุนเวียนมาพร้อมกันในแต่ละเดือน นั่นก็คือ “ค่าสาธารณูปโภค” ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า น้ำ แก๊ส อินเทอร์เน็ต โทรศัพท์ หรือค่าบริการสตรีมมิ่ง ทั้งหมดนี้คือสิ่งจำเป็นพื้นฐานที่ควรรู้ล่วงหน้า ซึ่งค่าต่างๆ นี้จะเป็นค่าเฉลี่ยโดยประมาณ ขึ้นอยู่กับการใช้งานนะครับ
ค่าไฟฟ้า น้ำประปา และแก๊ส โดยเฉลี่ยแล้ว จะประมาณ 266 ดอลลาร์ต่อเดือน เป็นราคาโดยรวมทั้ง 3 อย่าง ซึ่งอาจมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ขนาดของบ้าน และจำนวนคน ซึ่งหากลองเฉลี่ยแล้ว จะแบ่งเป็น
- ค่าไฟฟ้า ประมาณ 146 ดอลลาร์ต่อเดือน สำหรับบ้านขนาดกลาง ใช้ไฟทั้งแสงสว่าง เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องปรับอากาศ โดยเฉพาะในฤดูร้อน ค่าไฟอาจพุ่งสูงถึง 180-200 ดอลลาร์ต่อเดือนในบางรัฐ เช่น แคลิฟอร์เนีย หรือ เท็กซัส
- ค่าแก๊ส สำหรับบ้านที่ใช้แก๊สหุงต้ม หรือน้ำอุ่น จะมีค่าใช้จ่ายขึ้นเฉลี่ยราว 95 ดอลลาร์ต่อเดือน ในช่วงฤดูหนาว
- ค่าน้ำประปาและท่อน้ำทิ้ง โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 73 ดอลลาร์ต่อเดือน สำหรับครอบครัวขนาด 3-4 คน
ซึ่งแน่นอนว่า ราคาก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ เพราะว่าแต่ละรัฐเก็บภาษีค่าสาธารณูปโภคต่างกัน และก็มีอากาศที่ต่างกันด้วย
ผมมีเพื่อนอยู่ที่ Seattle โดยเพื่อนผมคนนี้เช่าห้องอยู่กับครอบครัว 4 คน และจ่ายค่าไฟประมาณเดือนละประมาณ 150 ดอลลาร์ แต่เพื่อนอีกคนที่อยู่ที่ Texas จ่ายประมาณ 250 ดอลลาร์ต่อเดือน ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่า Texas อากาศร้อนกว่า Seattle มากกว่ามาก ทำให้เพื่อนอีกคนที่อยู่ Texas ต้องคอยเปิดแอร์เกือบตลอดเวลาที่อยู่บ้าน

ค่าอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์
เพื่อนผมที่อยู่อเมริกาจ่ายค่าเน็ตบ้านอยู่ที่ 80 ดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งคนส่วนมากที่อเมริกาก็จ่ายประมาณนี้ สำหรับบริการไฟเบอร์หรือเคเบิลอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หากรวมค่าเช่าอุปกรณ์โมเด็มและภาษี ค่าใช้จ่ายอาจสูงขึ้นอีกราว ๆ 10-15 ดอลลาร์
ส่วนโทรศัพท์มือถือ สำหรับแผนรายเดือนแบบไม่จำกัด (Unlimited Data Plan) จากค่ายมือถือใหญ่ อย่าง Verizon/ AT&T/ T‑Mobile ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 60-80 ดอลลาร์ต่อเบอร์ หากอยู่ในครอบครัวที่มีหลายเบอร์ ค่าใช้จ่ายจะรวมเป็นแผนครอบครัวซึ่งประหยัดกว่านิดหน่อยครับ
ค่าทีวีและบริการสตรีมมิ่ง
ค่าใช้จ่ายพวกบริการอย่าง Netflix, Disney+, Hulu, Max ที่อเมริกาจะค่อนข้างแพงกว่าประเทศอื่น แต่ละบ้านจะจ่ายกันประมาณประมาณ 42 ดอลลาร์ต่อเดือน และคนส่วนมากที่ผมรู้จักจะสมัครไว้อย่างน้อย 3-4 แอพสตรีมมิ่ง
มีเพื่อนผมบางคนยังใช้บริการเคเบิลทีวีท้องถิ่นแบบเดิมร่วมด้วย เพราะมันสะดวกกว่า แต่ก็แพงกว่าเช่นกัน โดยมีค่าใช้จ่ายรวมอาจสูงถึง 100-150 ดอลลาร์ต่อเดือนเลยทีเดียว
ค่าเดินทาง
ค่าเดินทางในอเมริกา เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ที่ต้องวางแผนให้ดีมากเช่นกันครับ แต่ค่าเดินทางของแต่ละคนจะค่อนข้างแตกต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับว่าอาศัยอยู่ในรัฐไหนและอยู่ในละแวกไหน เนื่องจากค่าเดินทางแต่ละเมืองมันไม่ได้เท่ากันทั้งหมด และเราสามารถเลือกได้ว่าจะใช้อะไรเดินทาง อย่างในเมืองใหญ่ ก็มักจะใช้ขนส่งสาธารณะ พวก รถไฟ รถบัส เมโทร แต่ถ้าออกไปชานเมืองหรือชนบทหน่อย รถยนต์จะจำเป็นต่อการเดินทางและสะดวกกว่ามากๆ เรามาดูกันว่าค่าเฉลี่ยของค่าเดินทางทั้งสองแบบอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่กัน
ขนส่งสาธารณะ (รถไฟ รถบัส เมโทร)
หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า ขนส่งสาธารณะของอเมริกา มักจะอยู่ในเมืองใหญ่กันครับ เช่น นิวยอร์ก, ซานฟรานซิสโก, วอชิงตันดีซี, ชิคาโก้, บอสตัน ซึ่งเมืองเหล่านี้ ใครมาอยู่ไม่จำเป็นต้องมีรถยนต์ก็ได้ ขึ้นรถไฟ รถบัสของที่นี่จะสะดวกกว่ามากนะ โดยเฉลี่ยแล้ว ค่าโดยสารรถไฟใต้ดิน / รถบัส จะอยู่ที่ประมาณ 2.50-2.90 ดอลลาร์ ต่อเที่ยว (เช่น MTA ในนิวยอร์ก) หรือจ่ายแบบไม่จำกัดเที่ยวที่ประมาณ 125-150 ดอลลาร์ ต่อเดือน
ยกตัวอย่างเมือง:
- นิวยอร์ก (MTA Subway/ Bus) ราคามาตรฐาน 2.90 ดอลลาร์ ต่อเที่ยว (OMNY/ MetroCard) ส่วนรายเดือน แบบ 30 วัน (MetroCard/ OMNY) 132 ดอลลาร์ (แบบจำกัดเที่ยวรายวันไม่เกิน 34 ดอลลาร์)
- ลอสแอนเจลิส (Metro Rail & Bus) 1.75 ดอลลาร์ ต่อเที่ยว (รวมการโอนย้ายภายใน 2 ชม.) ส่วนรายเดือน Metro 100 ดอลลาร์ ต่อเดือน
- ไมอามี (Miami-Dade Transit) 2.25 ดอลลาร์ ต่อเที่ยว โดยใช้ EASY Card ส่วนรายเดือน 112.50 ดอลลาร์ต่อเดือน

ค่ารถยนต์ส่วนตัว ค่าน้ำมัน ค่าประกันรถยนต์
เพื่อนผมหลายๆคนที่อยู่ที่อเมริกา ส่วนมากแล้วเดินทางด้วยรถส่วนตัวเป็นหลัก เพราะว่าอเมริกาเป็นประเทศที่ใหญ่มากๆ เอาเป็นว่าการขับรถข้ามรัฐเป็นวันๆนั้น เป็นเรื่องปกติสำหรับที่นี่เลย อีกทั้งหากไม่ใช่เมืองใหญ่แล้ว การเดินทางโดยรถส่วนตัวจะสะดวกกว่ามาก แต่ข้อดีคือราคารถยนต์ของอเมริกาค่อนข้างถูก ถูกกว่าเมืองไทยเสียอีกแม้ว่าค่าแรงที่อเมริกาจะสูงกว่าไทยมากๆ
นอกจากการมีรถจะให้ความสะดวกในการเดินทางแล้ว ก็เหมาะสมต่อการนั่งไปไหนต่อไหนเป็นครอบครัว เป็นแก๊ง หรือสามารถขนของได้ ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายสำหรับรถยนต์ส่วนตัว อย่างค่าน้ำมัน และค่าประกันรถยนต์ มาดูกันครับ
ค่าน้ำมัน
ราคาน้ำมันในอเมริกาถือว่าค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับค่าแรงเฉลี่ยของคนในประเทศ และจะคิดราคาน้ำมันเป็น “แกลลอน” แทนที่จะเป็นลิตร โดย 1 แกลลอน เท่ากับประมาณ 3.785 ลิตร ถ้าดูจากราคาเฉลี่ยในสหรัฐฯ ราคาจะประมาณนี้ครับ
- น้ำมัน Regular (ธรรมดา): เฉลี่ย $3.22 ต่อแกลลอน
- น้ำมัน Mid-Grade: เฉลี่ย $3.69 ต่อแกลลอน
- น้ำมัน Premium: เฉลี่ย $4.05 ต่อแกลลอน
โดย 1 แกลลอน = 3.785 ลิตร ดังนั้นราคาต่อลิตรโดยประมาณคือ:
- Regular: $0.85/ลิตร
- Mid-Grade: $0.98/ลิตร
- Premium: $1.07/ลิตร
สำหรับค่าน้ำมันต่อเดือน จริงๆ ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคนเลยครับ สมมุติขับรถยนต์ขนาดกลาง วิ่งเดือนละ 1,000 ไมล์ (ประมาณ 1,600 กม.) รถกินน้ำมันเฉลี่ย 25 ไมล์ต่อแกลลอน รถต้องใช้น้ำมัน 40 แกลลอน (ประมาณ 151 ลิตร)
ค่าน้ำมันต่อเดือนจะอยู่ที่ประมาณ:
- Regular: $129 (151 × 0.85)
- Mid-Grade: $148
- Premium: $162
แต่ช่วงหลังมานี้ เมืองหลายแห่งในอเมริกาเริ่มหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่มีจุดชาร์จเยอะ เช่น Seattle เพื่อนผมที่อยู่ที่นั่นบอกว่า ตอนนี้มีคนขับ Tesla กันเต็มถนน เพราะที่นั่นถือว่านิยมมาก ๆ ซึ่งแน่นอนว่าทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางถูกลงไปอีกประมาณ 2-3 เท่าส
ค่าประกันรถยนต์
ค่าประกันรถยนต์ จำเป็นที่ต้องจ่ายเช่นกัน สำหรับคนที่ใช้รถยนต์ในอเมริกา โดยค่าประกันเฉลี่ยทั่วสหรัฐฯ ในปี 2025 ค่าประกันตกอยู่ที่ประมาณ 2,683 ดอลลาร์ต่อปี เฉลี่ยแล้ว 220 ดอลลาร์ต่อเดือน หรือประกันรถยนต์บางแห่ง ก็ไม่เท่ากันนะครับ สูงต่ำอยู่ที่เลือกประกันไหนและรถรุ่นอะไร ถ้าเฉลี่ยโดยรวม จะอยู่ราว ๆ ระหว่าง 1,900 – 2,700 ดอลลาร์ต่อปี หรือ 160 – 225 ดอลลาร์ต่อเดือนครับ
ค่าอาหาร
ในอเมริกา มื้ออาหารแต่ละมื้อ ย่อมมีค่าใช้จ่าย จะกินที่บ้าน ทำเองทุกวัน หรือซื้อของจากซูเปอร์มาร์เก็ต หรือเลือกความสะดวกจากร้านฟาสต์ฟู้ด ต้องจ่ายเท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์การกินของแต่ละคนด้วย แต่ผมจะแจกแจงโดยประมาณให้ทราบว่าถ้าเรากินแบบนี้ จะจ่ายประมาณกี่บาทครับ
ทำอาหารกินเอง
เวลาย้ายไปอยู่ที่อเมริกา คนส่วนมากมักจะทำอาหารกินเอง โดยเฉพาะถ้ารายรับยังไม่สูงมาก เพราะการทำอาหารเองช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้เยอะมากจริง ๆ ค่าอาหารนอกบ้านที่นั่นอาจดูแพงถ้ากินบ่อย ๆ แต่ถ้าทำเองที่บ้านจะคุ้มกว่ามาก
สำหรับผม เวลาไปอยู่อเมริกาแต่ละครั้ง มักจะชอบแวะไปซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ ๆ อย่าง Costco หรือ Walmart เพื่อซื้อของมาตุนไว้ใช้ในแต่ละสัปดาห์ ทั้งวัตถุดิบอาหารสด ของแห้ง หรือของใช้ในบ้าน ซึ่งไม่เพียงแค่ราคาถูกกว่า แต่ยังช่วยลดเวลาการออกไปซื้อของบ่อย ๆ ได้อีกด้วย ทำให้การใช้ชีวิตสะดวกขึ้นและประหยัดขึ้นเยอะครับ
วัตถุดิบสำหรับทำอาหารในอเมริกาถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ยของคนที่นั่น โดยเฉพาะถ้าเทียบกับการออกไปกินข้าวนอกบ้าน ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าหลายเท่า หากใครสามารถทำอาหารทานเองได้ ก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนไปได้มากทีเดียว
ตัวอย่างราคาวัตถุดิบทั่วไปในร้าน grocery (ราคาเฉลี่ย):
- เนื้อไก่ (อกไก่ไม่ติดกระดูก): $4–5 ต่อกิโลกรัม
- ไข่ไก่ (1 แผง 12 ฟอง): $2–3 ต่อแผง
- นมสด (1 ลิตร): $1–1.3
- เนื้อวัว (แบบธรรมดา ไม่บด): $8–10 ต่อกิโลกรัม
- ผักสด เช่น ผักกาดหอม บรอกโคลี แครอท: $1.5–3 ต่อหัวหรือถุง (แล้วแต่ชนิด)
- ข้าวสาร (ข้าวขาวหรือข้าวหอมมะลิ นำเข้า): $2–4 ต่อกิโลกรัม
ราคานี้อาจแตกต่างกันเล็กน้อยตามรัฐที่อยู่อาศัยหรือร้านที่ซื้อ แต่โดยรวมแล้ว หากซื้อของทำกินเองในบ้านสัปดาห์ละไม่กี่ครั้ง ก็สามารถประหยัดเงินได้มากกว่าออกไปกินข้างนอกทุกมื้อครับ
โดยส่วนมากแล้ว ตามผมสำรวจ ค่าใช้จ่ายต่อเดือนหากทำอาหารทานเองจะประทานนี้ครับ
- สำหรับผู้ใหญ่ อายุ 19-50 ปี ซึ่งอาจมีครอบครัวประมาณ 4 คนจะซื้อของเฉลี่ยต่อคน 350 ดอลลาร์ต่อเดือน (ประมาณ 11.67 ดอลลาร์ต่อวัน) หรือรวมๆ กันหลายคน ก็ประมาณ 1,200 + ดอลลาร์ต่อเดือนได้
- แต่สำหรับคนโสดจะใช้เงินเยอะกว่าครับ เพราะอยู่คนเดียว จะกินได้เต็มที่ เฉลี่ยที่ 400-500 ดอลลาร์ต่อเดือน (ประมาณ 16.80 ดอลลาร์ต่อวัน) หรือเกินกว่านี้คาดว่าค่าใช้จ่ายอยู่ในช่วง 504 ดอลลาร์ต่อเดือน (ประมาณ 15 ดอลลาร์วัน) เลยครับ
ค่าอาหารตามร้านอาหารและฟาสต์ฟู้ด
สำหรับคนที่ชอบทานข้าวนอกบ้าน หรือชอบฟาสต์ฟู้ด อย่างแมคโดนัลด์, Wendy’s (ส่วนตัวผมชอบแซนด์วิชของที่นี่ อร่อยมาก), Taco Bell หรืออาหารจีนตามฟู้ดคอร์ททั่วไป ราคาจะอยู่ที่ประมาณ $10–$15 ต่อมื้อ ซึ่งถือว่าไม่แพงมากถ้าเทียบกับความสะดวกและความเร็ว
แต่พวกร้าน Fast Food จะมีแบบเมนู Promotion ด้วยครับ ซึ่งจะตกแค่มื้อละประมาณ $4-$5 เอง ซึ่งตอนที่ผมไปอยู่อเมริกาแรกๆ ผมกินตลอดเลยครับ
แต่ถ้าไปนั่งทานที่ร้านอาหารแบบทั่วไป โดยเฉพาะร้านเสิร์ฟตามโต๊ะหรือร้านอาหาร ควรเตรียมงบประมาณไว้ประมาณ $20–$25 ต่อมื้อ และอย่าลืมว่าที่อเมริกาเป็น “สังคมทิป” ด้วยครับ เวลาทานในร้านแบบนี้ควรเผื่อค่าทิปอีก 15–20% ของบิลด้วย เพราะหากไม่ให้ทิปเลย โดยเฉพาะในร้านที่มีพนักงานเสิร์ฟ อาจโดนมองไม่ดี หรือเจอสายตาแปลก ๆ จากเด็กเสิร์ฟได้เลยครับ
หากเฉลี่ยต่อเดือน เราจะเสียค่าอาหารแบบนี้ครับ
- ถ้ากินแบ่งตามประเภทการกิน หากกินฟาสต์ฟู้ด 2 มื้อ/วัน = 700 ดอลลาร์/เดือน
- กินร้านทั่วไปครบ 3 มื้อ = 1,740 ดอลลาร์ต่อเดือน
- หรือ กินผสมฟาสต์ฟู้ด 1 มื้อ + ร้าน 1 มื้อ + ทำกินเอง 1 มื้อ = 1,250 ดอลลาร์ต่อเดือน
อยากให้ค่าอาหารถูกกว่านี้ เราต้องลดปริมาณส่วนไม่จำเป็นออก หรือทำอาหารทานเองก็ได้ครับ ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะมีบางคนใช้มากกว่านี้หรือน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับว่ากินร้านไหนบ่อยแค่ไหนครับ
ค่าความบันเทิงและกิจกรรมยามว่าง
ชีวิตในอเมริกาไม่ใช่แค่การทำงาน 9 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น ใช่ไหมครับ มันก็ต้องมีเวลาหลังเลิกงาน หรือช่วงวันว่าง ที่จะไปดูหนัง เข้าฟิตเนส ดื่มกับเพื่อน หรือไปในสถานที่ต่างๆ ทุกกิจกรรมคือมีค่าความใช้จ่ายเพื่อความบันเทิงแน่นอน มาดูกันว่าค่าใช้จ่ายอะไรที่นิยม และจ่ายประมาณเท่าไหร่
- ดูหนังในโรง ตั๋วราคาเฉลี่ยทั่วประเทศ 16.08 ดอลลาร์ต่อครั้ง ในนิวยอร์ก ซานฟรานซิสโก อาจสูงถึง 23+ ดอลลาร์ ส่วนบางรัฐอย่าง ไวโอมิง อาจต่ำสุด 9.08 ดอลลาร์ ถ้ามีค่าป็อปคอร์นและ เครื่องดื่มอีก ก็ประมาณ 8-15 ดอลลาร์ต่อชุด
- ฟิตเนส/ ยิม ยิมทั่วไป (Commercial Gym) ราคา 30-70 ดอลลาร์ต่อเดือน ยิมราคาประหยัด เริ่มต้นที่ 10-25 ดอลลาร์ต่อเดือน และยิมระดับพรีเมียม ราคา 150-300+ ดอลลาร์ต่อเดือน
- คอนเสิร์ต & งานดนตรีสด บัตรคอนเสิร์ตราคากลาง (Top tours) ราคา 144 ดอลลาร์ต่อบัตร และอาจสูงขึ้นหากเป็นทัวร์ศิลปินที่มีชื่อเสียงติดท้อป ราคาเฉลี่ย 206.47 ดอลลาร์ เทศกาลดนตรี มีบัตรตั้งแต่ 200-600 ดอลลาร์ (ไม่รวมอาหาร เครื่องดื่ม ที่พักและ ค่าเดินทาง)
- บาร์ & เบียร์คราฟต์ ราคาราว 7-14 ดอลลาร์ต่อแก้ว
ค่าใช้จ่ายสำหรับครอบครัว
การย้ายมาใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกา หากมากันทั้งครอบครัว แน่นอนว่า มีค่าใช้จ่ายที่สูงพอสมควรตั้งแต่ค่าเช่าบ้านที่ใหญ่พอสำหรับสมาชิก ยิ่งถ้าคนมีลูก ส่วนนี้สำคัญต้องมีค่าเลี้ยงดู เดย์แคร์ ค่าการศึกษาลูกเข้าโรงเรียน เรามาดูค่าใช้จ่ายส่วนนี้กันครับ
ค่าการศึกษา (โรงเรียนเอกชนและมหาวิทยาลัย)
มาดูโรงเรียนเอกชนกันก่อน ซึ่งถ้าเป็นโรงเรียนเอกชน ไม่ว่าจะประถมศึกษา หรือ มัธยมศึกษา จะมีค่าเทอมที่ต่างกัน ค่าเฉลี่ยทั้งประเทศอยู่ที่ 14,903 ดอลลาร์ต่อปี (ข้อมูลปี 2025) แยกตามระดับระดับประถม 13,931 ต่อปี และ ระดับมัธยมปลาย 17,811 ต่อปี

สำหรับมหาวิทยาลัย จะมีแบ่งเป็นรัฐครับ เช่น รัฐในรัฐ (Public, in-state) ค่าเฉลี่ยประมาณ 11,610ต่อปี สำหรับมหาวิทยาลัย 4 ปี, มหาวิทยาลัยรัฐนอกรัฐ (Public, out-of-state) เฉลี่ย 30,780 ต่อปี และมหาวิทยาลัยเอกชน (Private nonprofit 4-year) ค่าเรียนเฉลี่ย 38,421 – 42,162 ต่อปี
ตัวอย่างค่าเทอมมหาวิทยาลัยชั้นนำ (ต่อปี)
- Harvard University: $59,000
- Stanford University: $62,000
- MIT (Massachusetts Institute of Technology): $61,000
- Yale University: $64,000
ค่าเลี้ยงดูบุตรหรือเดย์แคร์
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญของคนมีลูกเล็กเลยครับ ต้องมีค่าเลี้ยงดูบุตร ค่าเดย์แคร์ ซึ่งเฉลี่ยได้แบบนี้ครับ ค่า daycare แบบศูนย์รวม (Childcare Center) ประมาณ 340-345 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ รายเดือนประมาณ 1,480 – 1,500 ดอลลาร์ต่อเดือน และรายปี 13,128 ดอลลาร์ต่อปี
หรือหากใครอยากจะจ้างพี่เลี้ยงเด็ก เฉลี่ยๆจะตกประมาณ 3,280 ต่อเดือนครับ แต่ถ้าใครอยากจะประหยัดเงินหน่อย
ทิป: ผมรู้จักบางครอบครัวที่จ้างพี่เลี้ยงจากไทยไปเลย และคอยดูแลเรื่องวีซ่า ประกันสุขภาพให้ ซึ่งวิธีนี้ก็เป็นอีกวิธีที่ดีเพราะจะได้พี่เลี้ยงที่ถูกใจและราคาย่อมเยาด้วยครับ
ค่ารักษาพยาบาลและประกันสุขภาพ
ที่อเมริกาค่อนข้างขึ้นชื่อเรื่องค่ารักษาพยาบาล ที่เรียกได้ว่าแพงหูฉีกกันเลยครับ ผมเห็นคลิปหลายๆคลิปที่ให้เห็นถึงค่ารักษาพยาบาลที่นี่ ซึ่งบอกได้เลยว่าแพงจริงๆครับ ค่ารักษาเพียงครั้งเดียวอาจพุ่งขึ้นหลักแสนหรือมากกว่านั้นเลยครับ ซึ่งเท่ากับว่า ที่นี่ ประกันสุขภาพ เป็นเรื่องจำเป็นมากครับ
ค่าพบแพทย์
ขอแยกแบบนี้นะครับ สำหรับผู้มีประกัน และไม่มีประกัน ราคาจะต่างกัน
- ผู้ไม่มีประกัน ค่าพบแพทย์ทั่วไปอยู่ที่ 100-300 ดอลลาร์ต่อครั้ง หากพบผู้เชี่ยวชาญ (เช่น หมอเฉพาะทาง) 150-600+ ดอลลาร์ต่อครั้ง และ คลินิกฉุกเฉินทั่วไป (Urgent care) 150-250 ดอลลาร์ต่อครั้ง
- ผู้มีประกัน ค่าร่วม (Copay): 10-50 ดอลลาร์ต่อครั้ง ขึ้นกับแผน (PPO/HMO) และ พรีเมียมต่อเดือน 539-621 ดอลลาร์ แผนยอดนิยม คือ Silver-tier ACA
สำหรับใครที่เพิ่งเริ่มศึกษาระบบประกันสุขภาพในอเมริกา อาจจะงงกับชื่อแผนต่าง ๆ เช่น HMO, PPO หรือ Silver-tier ว่าคืออะไรและต่างกันยังไง ลองดูสรุปง่าย ๆ ด้านล่างนี้ครับ
แผน HMO (Health Maintenance Organization):
เป็นแผนที่มีค่าใช้จ่ายถูกกว่าและเหมาะสำหรับคนที่อยากควบคุมค่าใช้จ่าย สามารถวางแผนได้ล่วงหน้า เพราะต้องเลือกแพทย์ประจำตัว (Primary Care Physician) และทุกการรักษาจะต้องผ่านการส่งต่อ (referral) จากแพทย์ประจำตัวก่อน ข้อจำกัดคือ ต้องใช้บริการเฉพาะในเครือข่าย (in-network) เท่านั้น หากไปนอกเครือข่าย จะต้องจ่ายเองเต็มจำนวน 100%
แผน PPO (Preferred Provider Organization):
เป็นแผนที่ยืดหยุ่นกว่า ผู้ใช้สามารถเลือกแพทย์หรือโรงพยาบาลได้เองโดยไม่ต้องมีการส่งต่อ และยังสามารถ ไปหาหมอนอกเครือข่ายได้ แม้จะต้องจ่ายมากขึ้น ถือว่าเหมาะกับคนที่อยากมีทางเลือกเยอะและไม่ต้องการข้อจำกัดมากนัก
ระดับของแผนประกันในตลาด ACA (Affordable Care Act):
ในตลาดประกันสุขภาพของสหรัฐฯ จะมีแผนแบ่งเป็นระดับต่าง ๆ คล้ายทองแดง-ทอง เพื่อให้เลือกตามงบและความต้องการ
- Bronze: ค่าเบี้ยถูกที่สุด แต่เราต้องจ่ายค่ารักษาเองเยอะก่อนที่ประกันจะช่วย
- Silver: เป็นแผนระดับกลางที่ได้รับความนิยมสูงสุดในตลาด เพราะได้สิทธิส่วนลดมากที่สุด (ผ่าน government subsidy) เบี้ยประกันไม่สูงเกินไป แต่ก็ยังต้องมี copay หรือจ่าย deductible บางส่วน
- Gold: ค่าเบี้ยสูงขึ้น แต่ประกันช่วยจ่ายมากขึ้น
- Platinum: ค่าเบี้ยสูงที่สุด แต่คุ้มครองมากที่สุด เหมาะสำหรับคนที่มีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพบ่อย ๆ
* ACA (Affordable Care Act) คือกฎหมายประกันสุขภาพของสหรัฐฯ ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้คนอเมริกัน (และผู้มีสิทธิพำนัก) สามารถเข้าถึงประกันสุขภาพในราคาที่จับต้องได้*
ค่ายา
จริงๆ แล้วค่ายา มันมีราคาที่เฉพาะเจาะจงได้ยาก เพราะมันมียาที่ใช้เฉพาะ และยาทั่วไปที่ต่างกัน แต่ถ้าเป็นยาทั่วไป ที่ซื้อได้ เช่น ยาแก้ปวด ลดไข้ ประมาณ 6.26 ดอลลาร์ต่อแผงและพวกยาแก้อักเสบ เฉลี่ย 4.11 – 10.83 ดอลลาร์ต่อแผง ถ้าอยากได้ยาราคาถูกลง ให้ใช้คูปอง (GoodRx, SingleCare) จะลดราคา 5-10 %
ประกันสุขภาพเอกชน
ในสหรัฐฯ คนจำนวนมากเลือกทำประกันสุขภาพเอกชนผ่านตลาดกลางภายใต้โครงการ ACA (Affordable Care Act) ซึ่งหนึ่งในแผนที่ได้รับความนิยมสูงคือ Silver-tier plan หรือแผนระดับเงิน เพราะเป็นตัวเลือกที่สมดุลระหว่างค่าเบี้ยประกันและสิทธิประโยชน์ที่ได้รับ
โดยทั่วไปแล้ว ค่าเบี้ยประกัน (Premium)
- สำหรับแผน Silver-tier จะอยู่ที่ประมาณ 621 ดอลลาร์ต่อเดือน หรือราว 7,452 ดอลลาร์ต่อปี สำหรับผู้เอาประกันทั่วไป
- หากเป็นผู้มีอายุประมาณ 40 ปี ค่าเบี้ยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 539 ดอลลาร์ต่อเดือน หรือประมาณ 6,468 ดอลลาร์ต่อปี
อย่างไรก็ตาม เบี้ยประกันเหล่านี้จะแตกต่างกันไปตามแต่ละรัฐ
สำหรับผู้ที่ได้รับประกันสุขภาพจากนายจ้าง (Employer-sponsored plans) ค่าเบี้ยที่ต้องจ่ายเองมักต่ำกว่าการซื้อแผนผ่านตลาด ACA โดยทั่วไปนายจ้างจะช่วยออกค่าเบี้ยบางส่วน ทำให้พนักงานจ่ายเองประมาณ 120 ดอลลาร์ต่อเดือน
ทิป: แต่ถ้าเทียบแล้ว ในความคิดผม หากต้องซื้อประกันสุขภาพเอง ลองไปดูพวกประกันสุขภาพสำหรับ expat โดยเฉพาะดีกว่าครับ เพราะพวกนี้ราคาไม่ได้ต่างจาก ACA มาก แต่ว่าคุ้มครองต่างประเทศด้วยครับ ที่ผมเห็นคนใช้กันเยอะๆก็จะมีของ Cigna Healthcare ครับ
ค่าธรรมเนียมวีซ่าและสถานการณ์พำนัก
อีกหนึ่งค่าที่คนมันจะลึมคิดกันไปเลยคือค่า “วีซ่า” ครับ ซึ่งปกติแล้วจะเสียประมาณ 185 ดอลลาร์ ไม่ว่าจะเป็นวีซ่าระยะสั้นแบบพวกวีซ่าท่องเที่ยว (เช่น B‑1/ B‑2) หรือระยะยาวแบบนักเรียนหรือคนทำงานครับ (เช่น H‑1B, F‑1, L‑1) และก็จะมีพวกค่าใช้จ่ายแฝงแบบพวกค่าเอกสารอีกด้วยครับ
แต่ถ้าเป็นพวกวีซ่าลงทุน ค่าธรรมเนียมจะพุ่งสูงขึ้นมาก อาจจะไปที่ประมาณ 2,000 – 5,000 ดอลลาร์ขึ้นไปครับ แต่เอาจริงๆก็เป็นเรื่องปกติของวีซ่าประเภทนี้อยู่แล้วที่จะมีค่าธรรมเนียมสูงเป็นพิเศษไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนก็ตาม
ในส่วนของ Green Card ไม่ว่าจะผ่านครอบครัว การทำงาน หรือการลงทุน จะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยราว 3,000 ดอลลาร์ ครับ
ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในเมืองต่างๆ ของสหรัฐฯ
เอาล่ะครับ ต่อไปผมจะแยกค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในเมืองต่างๆ ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งแต่ละเมืองจะเป็นเมืองใหญ่ยอดนิยม ที่คนชอบย้ายมาอยู่กัน เป็นภาพรวมโดยเฉลี่ยว่ารวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว จะประมาณเท่าไหร่ โดยตัวเลขที่ให้ เป็นแค่แบบ ค่าเบื้องต้นนะครับ สำหรับพออยู่ได้ ทำอาหารกินเองบ้างครับ
นิวยอร์ก
นิวยอร์ก (New York City) ถือว่าเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในอเมริกา และเรียกได้ว่าแทบจะแพงที่สุดในโลกเลยครับ โดยรวมแล้วมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศประมาณ 74% โดยเฉพาะ ค่าที่อยู่อาศัย ซึ่งแพงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 218% เลยครับ
ตัวอย่างค่าใช้จ่ายต่อเดือนในนิวยอร์ก
- ค่าเช่าอพาร์ตเมนต์แบบ 1 ห้องนอนในตัวเมืองอยู่ที่ประมาณ 4,809 ดอลลาร์ต่อเดือน
- อาหาร (ทำกินเอง + กินนอกบ้านบ้าง): 500–800 ดอลลาร์
- ค่าสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า น้ำ แก๊ส อินเทอร์เน็ต): 200–300 ดอลลาร์
- ค่าขนส่ง (MetroCard หรือเดินทางรายเดือน): 130 ดอลลาร์
- ประกันสุขภาพส่วนตัว (ถ้าไม่มีนายจ้างช่วยจ่าย): 500–600 ดอลลาร์
- ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ (เสื้อผ้า ยา ยิม ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ): 300–400 ดอลลาร์
รวมแล้ว ค่าใช้จ่ายรายเดือน (ไม่รวมค่าเช่า) สำหรับคนโสดในนิวยอร์กจะอยู่ที่ประมาณ 1,600–2,200 ดอลลาร์ต่อเดือน
แต่ถ้ารวมค่าเช่าแล้ว อาจสูงถึง 6,000–7,000 ดอลลาร์ต่อเดือน เลยทีเดียว
ดังนั้น ถ้าไม่มีรายได้ค่อนข้างสูง หรือไม่มีที่พักฟรี / แชร์บ้านกับผู้อื่น นิวยอร์กก็ถือว่าเป็นเมืองที่ “อยู่ยาก” สำหรับคนที่ต้องการประหยัดครับ

ลอสแอนเจลิส (Los Angeles, CA)
ลอสแอนเจลิสเป็นอีกเมืองที่มีค่าครองชีพสูงมากๆ ทั้งค่าเช่า ค่ากินก็แพงกว่าที่อื่นครับ แต่โดยรวมยังถือว่าถูกกว่านิวยอร์ก
ตัวอย่างค่าใช้จ่ายต่อเดือนในลอสแอนเจลิส
- ค่าเช่าอพาร์ตเมนต์แบบ 1 ห้องนอนในตัวเมือง: ประมาณ 2,779 ดอลลาร์ต่อเดือน
- อาหาร (ทำกินเอง + กินนอกบ้านบ้าง): 500–800 ดอลลาร์
- ค่าสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า น้ำ แก๊ส อินเทอร์เน็ต): 200–300 ดอลลาร์
- ค่าขนส่ง (ตั๋วโดยสารรายเดือนหรือค่ารถ): 130 ดอลลาร์
- ประกันสุขภาพส่วนตัว (ถ้าไม่มีนายจ้างช่วยจ่าย): 500–600 ดอลลาร์
- ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ (เสื้อผ้า ยา ยิม ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ): 300–400 ดอลลาร์
รวมแล้ว ค่าใช้จ่ายรายเดือน (ไม่รวมค่าเช่า) สำหรับคนโสดในลอสแอนเจลิสจะอยู่ที่ประมาณ 1,600–2,200 ดอลลาร์ต่อเดือน
แต่ถ้ารวมค่าเช่าแล้ว อาจอยู่ที่ประมาณ 4,400–5,000 ดอลลาร์ต่อเดือนได้เลยทีเดียวครับ
ออสติน (Austin, TX)
ออสตินเป็นเมืองหลักในเท็กซัส ที่ผมว่าออสตินยังถือว่าอยู่ง่ายและไม่แพงจนเกินไป และค่อนข้างสะดวกครับ
ตัวอย่างค่าใช้จ่ายต่อเดือนในออสติน (สำหรับคนเดียว ไม่รวมค่าเช่า)
- ค่าเช่าอพาร์ตเมนต์แบบ 1 ห้องนอน: 1,612–1,669 ดอลลาร์ต่อเดือน
- อาหาร (ทำกินเอง + กินนอกบ้านบ้าง): 400–600 ดอลลาร์
- ค่าสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า น้ำ แก๊ส อินเทอร์เน็ต): 150–250 ดอลลาร์
- ค่าขนส่ง (ค่าน้ำมันหรือระบบขนส่งสาธารณะ): 100–150 ดอลลาร์
- ประกันสุขภาพส่วนตัว (ถ้าไม่มีนายจ้างช่วยจ่าย): 400–500 ดอลลาร์
- ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ (เสื้อผ้า ยา ยิม ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ): 200–300 ดอลลาร์
รวมแล้ว ค่าใช้จ่ายรายเดือน (ไม่รวมค่าเช่า) สำหรับคนโสดในออสตินจะอยู่ที่ประมาณ 1,100–1,800 ดอลลาร์ต่อเดือน
แต่ถ้ารวมค่าเช่าแล้ว งบที่ควรเตรียมไว้จะอยู่ที่ประมาณ 2,700–3,500 ดอลลาร์ต่อเดือน
หากต้องการอยู่แบบสบาย มีเงินเหลือเก็บ และไม่ต้องประหยัดมากเกินไป หลายๆคนบอกว่าการวิจัยแนะนำว่างบที่เหมาะสมสำหรับชีวิตในออสตินควรอยู่ที่ราว 4,500 ดอลลาร์ต่อเดือนครับ
ซีแอตเทิล (Seattle, WA)
ซีแอตเทิลเป็นอีกเมืองที่ผมว่าน่าสนใจเลย แน่นอนว่าค่าครองชีพโดยทั่วไปอาจจะแพงกว่าเมืองอื่นหน่อยๆ เพราะเป็นเมืองใหญ่แต่คุณภาพชีวิตโดยรวมถึอว่าดีเลยครับ แถมโอกาสการจ้างงานเยอะ โดยเฉพาะในสายเทคโนโลยีครับ
ตัวอย่างค่าใช้จ่ายต่อเดือนในซีแอตเทิล
- ค่าเช่าอพาร์ตเมนต์แบบ 1 ห้องนอนในตัวเมือง: ประมาณ 2,365 ดอลลาร์ต่อเดือน
- อาหาร (ทำกินเอง + กินนอกบ้านบ้าง): 500–800 ดอลลาร์
- ค่าสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า น้ำ แก๊ส อินเทอร์เน็ต): 200–300 ดอลลาร์
- ค่าขนส่ง (บัตรโดยสารรายเดือน หรือค่าน้ำมัน): 120–150 ดอลลาร์
- ประกันสุขภาพส่วนตัว (ถ้าไม่มีนายจ้างช่วยจ่าย): 500–600 ดอลลาร์
- ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ (เสื้อผ้า ยา ยิม ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ): 300–400 ดอลลาร์
รวมแล้ว ค่าใช้จ่ายรายเดือน (ไม่รวมค่าเช่า) สำหรับคนโสดในซีแอตเทิลจะอยู่ที่ประมาณ 1,700–2,300 ดอลลาร์ต่อเดือน
และถ้ารวมค่าเช่าแล้ว งบต่อเดือนจะอยู่ที่ประมาณ 4,000–4,600 ดอลลาร์เลยทีเดียว
แม้ค่าครองชีพจะสูง แต่ซีแอตเทิลก็เป็นเมืองที่มีคุณภาพชีวิตดี รายได้เฉลี่ยสูง โและมีระบบขนส่งสาธารณะที่ค่อนข้างครอบคลุมเมื่อเทียบกับเมืองอื่นในสหรัฐฯ ครับ
ซินซินเนติ (Cincinnati, OH)
โดยส่วนตัว ผมค่อนข้างมีความผูกพันกับรัฐโอไฮโอ เพราะเป็นหนึ่งในรัฐแรก ๆ ที่ผมเคยไปอยู่ แม้ว่าจะเป็นการไปค้างบ้านเพื่อนก็ตาม และเพื่อนสนิทผมเองก็จบมหาวิทยาลัยจากรัฐนี้ด้วย สำหรับผม เมืองซินซินเนติเป็นตัวอย่างที่ดีของเมืองในอเมริกา ซึ่งยังคงเป็นเมืองใหญ่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ แต่ไม่ถึงกับวุ่นวายเหมือนเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ก ชีวิตโดยรวมอยู่ง่าย ค่าครองชีพไม่สูงมาก เหมาะกับคนที่ต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีในงบประมาณที่จับต้องได้
ตัวอย่างค่าใช้จ่ายต่อเดือนในซินซินเนติ
- ค่าเช่าอพาร์ตเมนต์แบบ 1 ห้องนอนในตัวเมือง: ประมาณ 1,200–1,350 ดอลลาร์ต่อเดือน
- อาหาร (ทำกินเอง + กินนอกบ้านบ้าง): 400–600 ดอลลาร์
- ค่าสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า น้ำ แก๊ส อินเทอร์เน็ต): 150–250 ดอลลาร์
- ค่าขนส่ง (รถยนต์ส่วนตัวหรือขนส่งสาธารณะ): 100–130 ดอลลาร์
- ประกันสุขภาพส่วนตัว (ถ้าไม่มีนายจ้างช่วยจ่าย): 400–500 ดอลลาร์
- ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ (เสื้อผ้า ยา ยิม ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ): 200–300 ดอลลาร์
รวมแล้ว ค่าใช้จ่ายรายเดือน (ไม่รวมค่าเช่า) สำหรับคนโสดในซินซินเนติจะอยู่ที่ประมาณ 1,200–1,800 ดอลลาร์ต่อเดือน
แต่ถ้ารวมค่าเช่าแล้ว งบประมาณจะอยู่ที่ประมาณ 2,400–3,200 ดอลลาร์ต่อเดือน
สรุปค่าใช้จ่ายโดยรวม
มาส่งท้ายกัน กับการสรุปค่าใช้จ่ายโดยรวมครับ ซึ่งผมจะแบ่งตามรูปแบบการใช้ชีวิต ให้เห็นแต่ละงบประมาณที่มี ว่าสามารถใช้ชีวิตอย่างไรได้บ้าง
งบประมาณ 2,000 ดอลลาร์ต่อเดือน
ถ้ถ้าใครจะมาอยู่อเมริกาแล้วมีงบประมาณต่อเดือนประมาณนี้ เอาจริง ๆ ผมว่าก็พออยู่ได้ แต่ค่อนข้าง “อยู่ยาก” หน่อยครับ ชีวิตความเป็นอยู่จะประมาณนี้เลย:
- ต้องอยู่ในเมืองรองที่ค่าครองชีพไม่สูงนัก เช่น โอไฮโอ หรือบางเมืองในเท็กซัส ไม่ใช่พวกนิวยอร์กหรือลอสแอนเจลิส
- แชร์ที่พักกับรูมเมต หรือเช่าห้องเล็ก ๆ
- ทำอาหารกินเองเป็นหลัก ไม่ค่อยได้กินนอกบ้าน
- เดินทางด้วยรถสาธารณะ เพราะรถยนต์มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมทั้งค่าน้ำมัน ประกัน และค่าจอดรถ
ซึ่งเอาจริง ๆ แล้ว ผมว่า เพิ่มงบขึ้นอีกนิดจะดีกว่า ครับ เพื่อให้ใช้ชีวิตได้สบายขึ้น ไม่ต้องเครียดกับรายจ่ายทุกอย่างจนเกินไป และยังมีงบเหลือสำหรับไปเที่ยวไปเข้าสังคมบ้าง และมีเงินเก็บฉุกเฉินบ้างด้วยครับ
งบประมาณ 3,000 ดอลลาร์ต่อเดือน
ถ้าใครมีงบประมาณประมาณ 3,000 ดอลลาร์ต่อเดือนในการใช้ชีวิตที่อเมริกา ผมถือว่าเริ่ม “อยู่ได้แบบสบายๆบ้าง” แต่ก็ยังต้องวางแผนดี ๆ อยู่ดี ชีวิตความเป็นอยู่จะประมาณนี้:
- ยังต้องเลือกอยู่ในเมืองที่ค่าครองชีพไม่สูงมาก เช่น ซินซินเนติ ออสติน
- อาจจะยังต้องแชร์ที่พัก หรือถ้าอยู่คนเดียวก็อาจจะต้องเช่าห้องที่ไม่ได้อยู่กลางเมือง
- ทำอาหารกินเองเป็นหลัก แต่พอมีงบกินนอกบ้านได้บ้างสัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง
- ยังต้องใช้รถสาธารณะเป็นหลัก
- ถ้าจะมีรถส่วนตัว ก็อาจต้องเป็นรถมือสอง
ถ้าให้พูดตามตรง งบระดับนี้ถือว่าใช้ชีวิตในอเมริกาได้แบบไม่ลำบากมากในเมืองหรือรัฐที่ค่าครองชีพไม่ได้สูงมาก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นสบายใจเต็มที่ ยังต้องระวังการใช้จ่ายพอสมควร ถ้ามีโอกาสเพิ่มงบได้อีกสักเล็กน้อย เช่น ไปที่ระดับ 3,500–4,000 ดอลลาร์ต่อเดือน จะช่วยให้คุณมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นเยอะครับ
งบประมาณ 4,000 ดอลลาร์ต่อเดือน
ถ้าใครมีงบประมาณประมาณ 4,000 ดอลลาร์ต่อเดือนในการใช้ชีวิตในอเมริกา ผมว่าชีวิตจะเริ่ม “อยู่สบาย” มากขึ้นพอสมควรครับ ไม่ต้องเครียดกับรายจ่ายในแต่ละวันมากนัก และพอมีพื้นที่ให้ใช้ชีวิตได้แบบมีคุณภาพมากขึ้น ชีวิตความเป็นอยู่โดยรวมจะประมาณนี้ครับ:
- เลือกอยู่ได้ทั้งเมืองรองและเมืองใหญ่บางแห่ง เช่น ซีแอตเทิล ออสติน หรือแม้แต่ลอสแอนเจลิสถ้าเลือกอยู่โซนรอบนอกหรือแชร์ที่พัก
- พอจะเช่าห้องคนเดียวได้ ไม่ต้องแชร์กับรูมเมต
- มีงบทำอาหารเองเป็นหลัก แต่กินข้าวนอกบ้านได้สัปดาห์ละหลายมื้อ
- ใช้รถยนต์ส่วนตัวได้โดยไม่กระทบงบโดยรวม
- ซื้อประกันสุขภาพแบบกลางถึงดีได้
- มีงบสำหรับกิจกรรมอื่น ๆ เช่น เที่ยววันหยุด ซื้อของใช้ส่วนตัว ฟิตเนส
- มีเก็บเงินฉุกเฉินบ้างในแต่ละเดือน
โดยรวมแล้ว งบ 4,000 ดอลลาร์ต่อเดือนถือว่าเป็นระดับที่ใช้ชีวิตในอเมริกาได้แบบไม่อึดอัดครับ หากไม่ได้อยู่เมืองที่ค่าครองชีพแพงจริงๆ ผมว่าอยู่สบายครับ
งบประมาณ 5,000 ดอลลาร์+ ต่อเดือน
ถ้าใครมีงบประมาณประมาณ 5,000 ดอลลาร์ขึ้นไปต่อเดือนในการใช้ชีวิตในอเมริกา ผมถือว่าอยู่ในระดับที่ “อยู่สบายจริงจัง” แล้วครับ ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องจ่ายค่าโน่นค่านี่ในแต่ละวัน และสามารถเลือกใช้ชีวิตได้ค่อนข้างอิสระ ชีวิตความเป็นอยู่จะประมาณนี้ครับ:
- เลือกอยู่ได้เกือบทุกเมืองในอเมริกา รวมถึงเมืองแพงอย่างนิวยอร์ก ซานฟรานซิสโก หรือซีแอตเทิล โดยไม่ต้องแชร์ห้องกับใคร
- เช่าคอนโดหรืออพาร์ตเมนต์คุณภาพดี ทำเลสะดวก
- กินนอกบ้านได้สบาย จะไปร้านอาหารดี ๆ สัปดาห์ละหลายครั้งก็ไม่ใช่ปัญหา
- ใช้รถยนต์ส่วนตัวได้อย่างเต็มที่
- ซื้อประกันสุขภาพดีๆได้เลย
พูดง่าย ๆ คืองบระดับนี้ (ประมาณ 5,000 ดอลลาร์ต่อเดือน) ก็ถือว่าใช้ชีวิตได้อย่างสบาย ๆ ในอเมริกาครับ อยู่เมืองใหญ่แบบลอสแอนเจลิสหรือแม้แต่นิวยอร์กก็พออยู่ได้แบบไม่ต้องตึงมือมากนัก จะกินนอกบ้านบ้าง เดินทาง ใช้รถส่วนตัว หรือเช่าที่พักดี ๆ ก็ทำได้
แต่ก็ต้องบอกตามตรงว่า ยังไม่ถึงขั้น “สบายจริงจัง” ซะทีเดียว โดยเฉพาะถ้าอยู่ในเมืองที่ค่าครองชีพสูงมากแบบนิวยอร์กหรือซานฟรานซิสโก เพราะถ้าจะใช้ชีวิตแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก อยากกินอะไรก็กิน อยู่คอนโดใจกลางเมือง มีรถ มีเงินเก็บ และท่องเที่ยวได้บ่อย ๆ แบบไม่กังวล เรื่องนั้นอาจต้องมองไปที่งบประมาณระดับ 6,000 ดอลลาร์ขึ้นไปต่อเดือน ถึงจะตอบโจทย์ครับ





