แบบทดสอบภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติของจุฬาฯ: CU-TFL

การทดสอบภาษาไทยสำหรับคนต่างชาติของจุฬาฯ: CU-TFL

การทดสอบภาษาไทยสำหรับคนต่างชาติของจุฬาฯ…

เรามาแชร์ข้อมูลให้ฟังกันเลย ตอนนี้ถ้าคุณอยากรู้แน่ๆ ว่าความสามารถภาษาไทยของคุณอยู่ระดับไหน ก็ไปที่ สถาบันภาษาไทยสิรินธร ที่มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์แล้วเข้ารับการทดสอบ CU-TFL นั่นคือ การทดสอบความสามารถทางภาษาไทยสำหรับคนต่างชาติที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขามีการทดสอบใน 4 ทักษะ อ่าน ฟัง เขียน พูด

ได้ยินคำศัพท์เกี่ยวกับการเรียนไทยจากคนต่างชาติมาเยอะเลย บางคนบอกว่าเขาอยู่ระดับกลาง-ต่ำ กลาง-สูง สูง-ต่ำ สูง-สูง จนถึงเกือบเป็นเจ้าของภาษา แย่ไปกว่านั้นคือพวกเขาใช้เกณฑ์ CEFL โดยตรงซึ่งไม่ได้มีความหมายใดๆ กับภาษาไทย เพราะทางการไทยเองไม่เคยทดสอบความสามารถภาษาไทยของคนต่างชาติและให้คะแนนแบบเดียวกันกับภาษาอังกฤษ ด้วยเหตุนี้การใช้เกณฑ์เหล่านี้ไม่ได้ให้ผลที่ดี ฉันเคยได้ยินบางคนประเมินตนเองว่าอยู่ในระดับ B1, B2 หรือ C1 ซึ่งการประเมินตนเองเช่นนี้ค่อนข้างจะเป็นการประเมินที่ไม่ค่อยแม่นยำนัก ฉันเองเคยพูดว่าในประสบการณ์ส่วนตัว คนต่างชาติมักจะประเมินความสามารถภาษาไทยของตนเองสูงเกินไปมาก

ต้องบอกไว้เลยว่า CU-TFL ไม่ใช่การทดสอบง่ายๆ เหมือน MOE ของกระทรวง ที่ทำเพื่อช่วยเหลือการขอขยายวีซ่า ED การทดสอบนี้คล้ายกับการทดสอบความสามารถภาษาไทยสำหรับคนต่างชาติของกระทรวงที่เปลี่ยนมาจากการสอบ ป.๖ เลย ซึ่งเมื่อถามกับเจ้าหน้าที่จุฬาฯ พวกเขาก็บอกว่าไม่ได้ร่วมงานกับกระทรวงอู้พวกเขาไม่ได้รู้ด้วยว่าการทดสอบมันคล้ายกัน สิ่งที่เราต้องรู้คือ CU-TFL เป็นการทดสอบความสามารถที่เต็มรูปแบบและโหดจริง ทั้งการอ่าน การฟัง การเขียน และการพูด แต่ไม่เหมือนกับการทดสอบของกระทรวงที่ต้องทำทั้งหมด 4 ส่วน คุณสามารถเลือกทดสอบเฉพาะบางส่วนได้ ฉันเลือกไม่ทำส่วนการเขียน เพราะฉันพิมพ์ได้แต่ลายมือไก่เขี่ยจริงๆ

วันที่ 9 ตุลาคม ฉันทำการทดสอบ 3 ใน 4 ส่วน คือ การอ่าน การฟัง และการพูด ไม่เคยเจออะไรที่มีการคิดมาอย่างดี และมีการสร้างขั้นตอนให้ยากขึ้นเรื่อยๆ ในการทดสอบเลย อย่างการอ่าน/ฟัง ที่ยังเป็นข้อสอบให้เลือกซึ่งมีโอกาส 25% ที่จะเดาได้ถูก คุณจะได้ตอบเกินความสามารถจริงแค่คำถามสองสามคำถาม แล้วคุณจะหยุดลงตรงระดับของคุณเอง

ข้อดีก็คือคุณสามารถเข้าสอบ CU-TFL ได้เกือบทุกเมื่อที่คุณต้องการ ไม่ต้องรอจนสิ้นปีเหมือนการสอบ MOE และที่ไม่เหมือนกับ MOE ที่มีคนสอบหลายร้อยคน แต่ CU-TFL คุณสอบคนเดียว คุณต้องสมัครออนไลน์ เลือกทำข้อสอบในด้านที่อยากทำ พิมพ์ใบเสร็จ โอนเงิน ส่งอีเมลยืนยันการโอน พวกเขาจะส่งอีเมลตารางเวลาที่มีบ่อยมาบอกว่ามีเวลาไหนว่างสอบ ฉันจ่ายเงินวันอังคารแล้วก็ได้อีเมลว่า มีคิวว่างให้สอบวันพฤหัส/ศุกร์

ในเว็บไซต์เวอร์ชั่นภาษาไทย ระบบการให้คะแนนการสอบเปรียบเทียบกับระบบการวัดความสามารถทางภาษาต่างๆ เช่น ACTFL, IFR, FSI และ CEFR การสอบ CU-TFL มีระดับ Novice (ฝึกพูด), Intermediate (กลาง), Advanced (ดี), Superior (ดีมาก) และ Distinguished (ดีเด่น) ซึ่งเป็น ‘คะแนน’ ที่ได้ในแต่ละด้าน ถึงฉันจะไม่อยากเทียบกับ CEFR แต่ในเว็บไซต์นั้นบอกว่ามีระดับเหมือนกันคือ Novice=A1-A2, Intermediate=B1, Advanced=B2, Superior=C1 และ Distinguished=C2

นี่เป็นสามชั่วโมงที่เครียดที่สุดที่เคยมีในเส้นทางการเรียนรู้ภาษาไทยของฉัน ซึ่งกินเวลามาเกือบ 9 ปีแล้ว! ฉันเข้าห้องสอบโดยไม่รู้อะไรนอกจากที่อ่านในเว็บไซต์ที่บอกว่าแต่ละข้อสอบใช้เวลาชั่วโมงเดียว ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการทำสอบและการจัดสอบค่อนข้างไม่ชัดเจนนัก ถ้าฉันมีไอเดียเกี่ยวกับข้อสอบที่จะต้องเจอ ฉันจะเข้าไปเตรียมตัวดีกว่านี้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าภาษาไทยของฉันจะดีขึ้นหรอก แค่ว่าฉันจะรู้ว่าจะต้องถูกทดสอบยังไงเท่านั้นเอง

นี่คือภาพรวมของวิธีการทดสอบ CU-TFL:

คุณไปถึงตามเวลาที่กำหนด เช็คอิน ทุกคนในสำนักงานนั้นพูดและเข้าใจภาษาอังกฤษได้ดี ฉันบอกพวกเขาว่า “สวัสดี ฉันชื่อท็อดและมาสอบภาษาไทย” ไม่มีใครตกใจที่ฉันพูดภาษาอังกฤษเข้าไปทดสอบภาษาไทย ไม่เหมือนการสอบ MOE ที่ต้องแต่งกายแบบเรียบร้อย ฉันไปในสภาพกางเกงยีนส์และเสื้อยืดของวง KISS กับหมวกเบสบอล พวกเขาพาคุณไปเก็บโทรศัพท์มือถือ แล็ปท็อป หนังสือ ฯลฯ แล้วคุณกับผู้คุมสอบเดินเข้าสู่ห้องเรียนที่เล็ก มีโต๊ะเก้าอี้ นาฬิกาดังกริ๊กที่เตือนคุณถึงเวลาที่เหลืออยู่ และกล้องวิดีโอเล็กๆ บนมุมห้อง (เมื่อคุณสมัคร คุณยอมรับว่าพวกเขาสามารถบันทึกและใช้มันเพื่อการฝึกอบรมได้) ถ้าคุณต้องการสามารถนำน้ำดื่มเข้าไปในห้องด้วย

การอ่าน: คุณจะได้รับแผ่นคำตอบที่มีคำถาม 50 ข้อ เขาจะแบ่งเป็น ‘หัวข้อ’ (1 ถึง 6 จำได้ไม่ค่อยแม่น) และได้รับแผ่นเนื้อหาที่จะอ่าน ครูบอกว่าให้ทำเครื่องหมาย X ในช่องที่มีก ข ค ง สำหรับแต่ละคำถาม แล้วคุณก็เริ่ม ตอนแรกอ่านง่าย โฆษณาสั้นๆ ตารางบิน ฯลฯ ข้อสอบแรกๆ มีแค่ 3 หรือ 4 คำถาม จากนั้นก็ยากขึ้น ๆ เนื้อหายาวขึ้น เป็นบทความครึ่งหน้า หนึ่งหน้า หนึ่งหน้าเกือบครึ่ง จนสุดท้ายเหมือนอยู่ที่ 2 ¼ หน้าของเนื้อหาเชิงลึก ที่จำได้ลางๆ คือหัวข้อสุดท้ายเป็นบทความโดยจิตแพทย์พูดถึงความเครียดของคนไทยกับสาเหตุแฝง

จำไว้ว่ามีเวลาแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้นในการทำ 50 คำถาม คุณต้องอ่านเร็วหรือไม่ก็ต้องดูคำถามและอ่านหาคำตอบในเนื้อหาให้ทัน ฉันจัดการผ่านทั้ง 50 คำถามได้แบบพอดีๆ ฉันอ่านได้เร็วเข้าใจดี แต่ก็ยังต้องเดาบางคำตอบ พวกเขาพยายามสร้างคำถามให้คุณผิดพลาด อย่างคำถามว่าอันไหนไม่ได้เกี่ยวข้องกับหัวข้อเลย ระวังการขีดเส้นใต้ในคำถามนั้นกัน

คุณได้พักสั้นๆ หรือไม่ก็อาจจะไม่ได้พัก ฉันบอกพวกเขาว่าต้องการเข้าห้องน้ำ สูบบุหรี่ ลุกไปทำเองบางทีเป็นเพราะฉันเป็นคนเดียวที่เข้าสอบวันนั้น หรืออาจจะเพราะฉันเป็นอะไรที่แรงกล้า พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกับฉันเลย ไม่รู้ว่าถ้าคุณสอบพร้อมกับกลุ่มอื่นๆ จะเป็นงั้นหรือเปล่า

การฟัง: คุณเข้าสู่ห้องเรียนที่เดียวกับครูและเธออธิบายวิธีการเลือกคำตอบให้คุณแล้วก็เปิดเทป มันจะอธิบายอีกครั้งเรื่องทำเครื่องหมายคำตอบอย่างไร แล้วก็เริ่มด้วยเสียงพูดภาษาไทย 15 วินาที คุณต้องฟัง แล้วเขาอ่านคำถามกับตัวเลือกให้ ยิ่งทำต่อไปเทปก็จะพูดยาวขึ้น เริ่มจาก 15 วินาทีแล้วเป็น 30 วินาที และนานขึ้นไปอีกจนจบ คุณจะสามารถเขียนโน้ตลงบนกระดาษได้ แต่เสียงพูดไม่ได้ช้าเอื้อที่สุด ฉันเขียนคำถามไม่ได้ ฉันจะฟังแล้วมองหาคีย์เวิร์ดจากคำถามที่อ่านอยู่และทำสัญลักษณ์เล็กๆ ข้างๆ คำตอบไว้ แล้วย้อนกลับมาดูตอนที่เทปถามคำถามแต่ละข้ออีกครั้ง มีทั้งหมด 50 คำถาม ก็ได้ครบแค่พอดีๆ แต่เหนื่อยเลย

หลังจากเวลาพักเข้าห้องน้ำ/สูบบุหรี่ครั้งสุดท้าย ฉันก็เข้าสอบครั้งสุดท้าย

การพูด: คุณจะได้รับกระดาษที่บอกขั้นตอนการทดสอบว่ามันจะดำเนินการยังไง โดยจะให้แบบผ่านหรือล้มเหลว คุณต้องผ่านส่วนหนึ่งถึงจะไปยังส่วนถัดไปได้ คุณจะเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ มีครูไทยสองคนอยู่ในนั้น ของฉันนั้นเป็นเด็กๆ มหาลัยหรือเพิ่งเรียนจบใหม่ พวกเขาจะบอกว่าจะมอบหมายการทดสอบยังไง และมันจะเป็นแบบนี้ สองส่วนแรกเป็นการสัมภาษณ์ 10 นาทีและการพูดฟรี 5 นาที ถ้าคุณไม่ผ่านก็จบเลย แต่ถ้าคุณผ่านตามที่ครูพอใจ คุณจะได้ทำส่วนถัดไป นั่นคือที่ที่พวกเขาให้กระดาษพร้อม 5 หัวข้อทั้งในภาษาอังกฤษและไทย คุณเลือกหนึ่งหัวข้อ เขาให้คุณ 5 นาทีสำหรับโน้ต และหลังจากนั้นคุณจะพูด 10 นาทีในหัวข้อนั้น บางหัวข้อก็งงจนฉันไม่สามารถพูดถึงในภาษาอังกฤษได้ เช่น หัวข้อ “การศึกษานอกระบบ” โชคดีที่หัวข้อนี้อยู่ในนั้น มันเหมือนกับทุกโรงเรียนสอนภาษาไทยส่วนตัวที่สอนต่างชาติ! มันโชคดีจริงๆที่หัวข้อนี้อยู่ในนั้น ฉันได้ 5 นาทีทำโน้ตของฉัน (ฉันทำในภาษาอังกฤษ) แล้วพวกเขาเปิดตัวจับเวลาและฉันให้การนำเสนอของฉันไป ฉันพูดว่าภาษาไทยถูกสอนให้ต่างชาติยังไงต่างจากนักเรียนไทย ข้อดีข้อเสียของระบบ วิธีที่ใช้ใน “Union Clone” และปัญหาที่ต่างชาติต้องเผชิญเมื่อขอขยายวีซ่า ED ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อเรียนภาษาไทย ที่จริงแล้วตัวจับเวลาก็หมดตอนฉันพูด แต่ครูทั้งสองเหมือนจะสนใจสิ่งที่ฉันพูดมากและพูดว่า “ต่อเลย จบนำเสนอของคุณ” มันยอดเยี่ยมและเต็มใจมากที่จะให้ฉันทำเสร็จ หลังจากนั้นพวกเขาบอกว่าฉันเข้ารอบสุดท้ายของการทดสอบพูดได้

ส่วนสุดท้ายนั้นคือที่ที่ฉันต้องสัมภาษณ์ครูคนหนึ่งที่มอบหมายการทดสอบ ใช้เวลา 5 นาทีเขียนโน้ตสั้นๆ แล้วให้การนำเสนอ 10 นาทีเกี่ยวกับเธอ/เขา ฉันตัดสินใจไม่ทำต่อ ซึ่งน่าผิดหวังแก่ครูทั้งสองคน พวกเขาทั้งคู่กระตุ้นฉันให้ทำ พูดว่าฉันจะไม่มีปัญหาอะไร ฉันบอกว่าพลังของฉันได้หมดลงแล้ว พวกเขาพยายามอีกครั้งเพื่อให้ฉันทำ แม้จะบอกว่าถ้าฉันต้องการพักเพื่อสูบบุหรี่ก่อนก็ได้ โชคไม่ดีที่ตอนนั้นฉันหมดแรงเต็มที่ ขาของฉันรู้สึกเหมือนเจลโล่ และเสื้อของฉันชุ่มไปด้วยเหงื่อ ไม่มีทางที่ฉันจะทำส่วนสุดท้ายได้หลังจากสามชั่วโมงที่ฉันเพิ่งผ่าน ถ้าหากฉันกลับมาดูนิดหน่อย ฉันควรจะพักสูบบุหรี่ในห้องน้ำ จัดการตัวเอง แล้วกลับมาทำให้ได้ ตอนนี้ฉันรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ทำ ฉันมั่นใจว่าฉันสามารถถามชื่อ อายุ สมาชิกในครอบครัวที่ว่ามาจากไหน ถ้าเขายังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ทำงานอะไร อยากทำงานอะไร ฯลฯ และทำให้มันเป็นการนำเสนอที่ค่อยๆเข้าที่ได้

อย่างที่ฉันพูดไปตอนต้น ฉันไม่ได้สอบการเขียนในส่วนของการสอบนี้ ดังนั้นฉันช่วยพวกคุณไม่ได้ บางทีใครที่ก็สอบการเขียนในส่วนนี้ก็คงจะแบ่งปันเคล็ดลับเกี่ยวกับวิธีการทดสอบนี้

โอ้ ฉันควรจะบอกว่า เนื่องจากการพูดไทยของฉันค่อนข้างหยาบคายและแบบ ‘สีสัน’ ตอนฉันเข้าในส่วนการพูดของการทดสอบ ฉันขอโทษครูก่อน ฉันบอกพวกเขาว่าฉัน พูดตรงไปตรงมา พูดแรง บางครั้งพูดหยาบคาย ประชด ทะลึ่ง และเพราะฉันเป็นคนอเมริกัน 100% ฉันไม่ได้เรียนแบบการพูดของคนไทยแบบคนไทยเพราะวัฒนธรรมของพวกเขา ฉันบอกพวกเขาว่ามันเป็นสันดาน (ลักษณะติดตัวที่ไม่ดี) และพวกเราทั้งสองคนต้องทำให้ดีที่สุดจากมัน พวกเขาดูโอเคกับมัน และในสัมภาษณ์ของฉันกับพวกเขา ฉันเชื่อว่าฉันจัดการ ‘ติกทุกข้อ’ ของการเตือนที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้!

โอเค นี่เป็นทั้งหมดที่ฉันมี! คุณมีข้อมูลที่ดีกว่าที่ฉันมีเมื่อฉันไปที่นั่น ฉันไม่สามารถแนะนำมากพอว่าถ้าใครต้องการรู้ระดับไทยของตัวเองจริงๆ ให้ไปสอบเหล่านี้ มันอาจทำให้เครียด (หรือแน่นอนว่ามันเป็นสำหรับฉัน) แต่คุณจะมีความเข้าใจดีกว่าเกี่ยวกับระดับของคุณเกี่ยวกับภาษาไทยมาก

โชคดีนะ ทำให้ดีนะ…

Advertisement