วิธีย้ายไปอยู่ประเทศโครเอเชีย ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างในปี 2025

Moving to Croatia A Guide for Expats to Live Here

คู่มือเตรียมตัวย้ายไปโครเอเชีย รวมทุกเรื่องที่ต้องรู้ตั้งแต่วีซ่า งาน ที่พัก ค่าครองชีพ ไปจนถึงเคล็ดลับจากประสบการณ์จริง

คุณเคยคิดไหมว่า วันหนึ่งจะได้ย้ายไปอยู่เมืองริมทะเลในยุโรป ใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ จิบกาแฟยามเช้า แล้วเดินไปทำงานท่ามกลางวิวทะเลและภูเขา?

ในปี 2024 ฉันมีโอกาสได้ย้ายไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองสปลิท (Split) ประเทศโครเอเชีย เป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม ตั้งแต่มิถุนายน 2024 – พฤษภาคม 2025 ในฐานะผู้ดูแลด้านการบริหารและการตลาดให้กับร้านอาหารไทยเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมือง ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ฉันได้สัมผัสโครเอเชียในมุมที่ต่างไปจากการมาเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิต วัฒนธรรมการทำงาน ระบบราชการ หรือการจัดการธุรกิจในต่างแดน

และสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ คือการย้ายประเทศไม่ใช่แค่การเก็บกระเป๋าแล้วขึ้นเครื่อง แต่ต้องมีการเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมความพร้อมมากมาย ตั้งแต่ขั้นตอนขอวีซ่า การหาที่พัก การเปิดบัญชีธนาคาร ไปจนถึงเรื่องเล็กๆ อย่างการซื้อซิมการ์ด หรือการเดินทางในเมืองก็เป็นสิ่งที่เราต้องรู้ไว้เช่นเดียวกัน

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับ สิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจย้ายไปโครเอเชีย พร้อมคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ จากประสบการณ์ตรง ที่จะช่วยให้การย้ายไปโครเอเชียของคุณง่ายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

บทความนี้ใช้เวลาอ่านประมาณ 38 นาที ยังไม่มีเวลาอ่านตอนนี้เหรอ? ไม่เป็นไรเลย คุณสามารถส่งเวอร์ชันบทความแบบไม่มีโฆษณาไปที่อีเมลของคุณ แล้วค่อยอ่านทีหลังก็ได้!

คำชี้แจงเรื่องความโปร่งใส: บทความนี้อาจมีลิงก์ไปยังผลิตภัณฑ์หรือบริการจากพันธมิตรของเรา หากคุณคลิกลิงก์เหล่านั้น เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กน้อย ซึ่งอาจมีผลต่อรูปแบบการจัดวางเนื้อหาบางส่วน อย่างไรก็ตาม โปรดวางใจว่า เราแนะนำเฉพาะสิ่งที่เราเชื่อว่ามีประโยชน์และเหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณจริง ๆ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน นโยบายโฆษณา ของเรา.

Contents

  1. วีซ่าในโครเอเชีย
    1. สามารถเดินทางเข้าโครเอเชียด้วยวีซ่าใดได้บ้าง?
      1. วีซ่าท่องเที่ยว (Short-Stay Visa - Type C)
      2. วีซ่าพำนักชั่วคราว (Temporary Stay) 
      3. วีซ่าพำนักถาวร (Permanent Residence)
    2. ประสบการณ์การทำวีซ่าของฉันเป็นอย่างไรบ้าง?
  2. วิธีสมัคร OIB ในโครเอชีย
  3. OIB คืออะไร
    1. ขั้นตอนและเอกสารที่ใช้ในการขอ OIB
  4. การหางาน
    1. ทำงานอะไรดีที่โครเอเชีย? 
    2. ทำงานกับคนโครเอเชียเป็นอย่างไรบ้าง?
    3. สามารถหางานที่มั่นคงทั้งปีได้หรือไม่?
  5. ค่าครองชีพในโครเอเชีย
  6. การหาบ้าน
    1. ที่พักในโครเอเชียหายากไหม ราคาเท่าไหร่ มีแบบไหนบ้าง?
    2. เวปหาบ้านแนะนำ
    3. สัญญาเช่าบ้าน
  7. ระบบสาธารณูปโภคและอินเทอร์เน็ต
  8. การเปิดบัญชีธนาคาร
  9. สุขภาพ
    1. ระบบสุขภาพในโครเอเชียไว้วางใจได้หรือไม่?
    2. ระบบประกันสุขภาพของรัฐ (HZZO)
    3. Dom Zdravlja (ศูนย์สุขภาพชุมชน)
    4. ประกันสุขภาพเอกชน
    5. ยาสามัญประจำบ้าน
    6. จำเป็นต้องมีประกันสุขภาพหรือไม่?
  10. การเรียนรู้ภาษาโครเอเชีย
    1. จำเป็นต้องเรียนภาษาโครเอเชียหรือไม่?
    2. วิธีฝึกภาษาโครเอเชียของฉัน
  11. อาหาร
  12. วัฒนธรรมการกินของโครเอเชียเป็นอย่างไร?
  13. เมืองยอดนิยมสำหรับชาวต่างชาติ
    1. ซาเกร็บ (Zagreb) สำหรับคนรักสีสันยามค่ำคืน
    2. สปลิท (Split) สำหรับคนรักการพักร้อน
    3. ดูบรอฟนิก (Dubrovnik) สำหรับคนรักการปาร์ตี้
  14. ในโครเอเชียมีสนามบินใดบ้าง และเดินทางยากไหม?
  15. วิธีการเดินทาง
    1. รถบัสและรถราง (Tram)
    2. รถไฟ
    3. เรือ
  16. สังคมและวัฒนธรรมโครเอเชีย
  17. หากทำงานในโครเอเชียต้องจ่ายภาษีหรือไม่?
  18. โครเอเชียใช้ชีวิตยากไหมและปลอดภัยแค่ไหน?
    1. การเดินทางและแท็กซี่
    2. ฤดูหนาว = ฤดูที่ต้องระวังขึ้นนิดนึง
    3. ข้อควรระวังอื่น ๆ
  19. เอกสารที่ควรนำติดตัว
  20. ไทม์ไลน์วางแผนการย้ายไปอยู่ประเทศโครเอเชีย
    1. 3-6 เดือนก่อนย้าย
    2. 1-2 เดือนก่อนย้าย
    3. สัปดาห์ก่อนย้าย
    4. วันที่เดินทางถึงโครเอเชีย
    5. 1-3 เดือนแรกหลังย้าย

วีซ่าในโครเอเชีย

ก่อนอื่นเลย การที่เราจะย้ายมาอยู่ในโครเอเชีย ต้องดูเรื่องวีซ่าก่อนเลย ซึ่งฉันแนะนำว่าให้เตรียมตัวแต่เนินๆ เพราะใช้เวลานานมากกว่าจะขอวีซ่าที่นี่ได้

สามารถเดินทางเข้าโครเอเชียด้วยวีซ่าใดได้บ้าง?

ตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา โครเอเชียได้เข้าร่วมกลุ่มเชงเก้น (Schengen Area) อย่างเป็นทางการแล้ว ทำให้ระบบการขอวีซ่าเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ทั้งสำหรับนักท่องเที่ยวและคนที่อยากอยู่ระยะยาว เช่น ทำงาน ดิจิทัลโนแมด เรียน หรือผู้ที่พำนักถาวรก็ต้องถือกฏของเชงเก้นเป็นหลัก เพื่อให้เป็นไปตามกฎของสหภาพยุโรปและเชงเก้น

ตอนฉันยื่นขอวีซ่าทำงานช่วงกลางปี 2024 ก็พบว่าหลายขั้นตอนมีการเปลี่ยนแบบเงียบๆ เอกสารบางอย่างต้องใช้มากกว่าเดิม ไม่ยุ่งยากแต่ใช้ระยะเวลารอคอยนาน เพราะแม้จะเข้าร่วมกลุ่มเชงเก้น (Schengen Area) แล้ว ระบบราชการของโครเอเชียยังคงเอื่อยเฉื่อยเหมือนเดิม และต้องใช้ความอดทนสูงมากเลยทีเดียว

ซึ่งวีซ่าที่ชาวต่างชาตินิยมใช้เข้าประเทศโครเอเชียหลักๆ จะมีตามนี้

วีซ่าท่องเที่ยว (Short-Stay Visa – Type C)

หากใครมีแพลนจะมาโครเอเชียแบบระยะสั้น ไม่เกิน 90 วัน ไม่ว่าจะมาเที่ยว มาเยี่ยมเพื่อน หรือมาใช้ชีวิตแบบทดลองก่อนตัดสินใจอยู่ยาวก็ต้องขอวีซ่าท่องเที่ยวตัวนี้ ซึ่งเป็นวีซ่าพื้นฐานที่ใช้เดินทางในเขตเชงเก้น รวมถึงโครเอเชียด้วย

สำหรับคนไทย ต้องยื่นขอวีซ่าล่วงหน้าเหมือนการไปประเทศยุโรปอื่น ๆ อย่างฝรั่งเศส เยอรมนี หรืออิตาลี เพราะยังไม่มีสิทธิ์เข้าแบบไม่ต้องใช้วีซ่าเหมือนบางประเทศในยุโรป เอกสารที่ต้องเตรียมก็ไม่ต่างจากการขอวีซ่ายุโรปทั่วไป เช่น ใบจองที่พัก หรือจดหมายเชิญหากมีคนรู้จักเป็นเจ้าบ้าน ประกันการเดินทางที่ครอบคลุมวงเงินอย่างน้อย 30,000 ยูโร ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ หลักฐานทางการเงิน เช่น สเตตเมนต์ธนาคารย้อนหลัง 3–6 เดือน และแบบฟอร์มวีซ่าพร้อมรูปถ่ายตามที่กำหนด

ค่าธรรมเนียมวีซ่าอยู่ที่ประมาณ 80 ยูโร หรือราวๆ 3,200 บาท ซึ่งเป็นเรตราคามาตรฐานตามระบบของเชงเก้น การยื่นขอสามารถทำได้ผ่านสถานทูตโครเอเชีย หรือศูนย์ยื่นวีซ่าที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งต้องจองคิวและยื่นเอกสารด้วยตัวเอง ระยะเวลาพิจารณาจะอยู่ที่ประมาณ 15 วันทำการ ดังนั้น แนะนำให้เผื่อเวลาไว้ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อป้องกันความล่าช้าโดยไม่จำเป็น

วีซ่าพำนักชั่วคราว (Temporary Stay) 

ถ้าใครวางแผนจะอยู่ในโครเอเชียเกิน 90 วัน ไม่ว่าจะมา ทำงาน เรียน ดิจิทัลโนแมด หรือมาอยู่กับคู่ครอง ก็ต้องยื่นขอวีซ่าพำนักชั่วคราวตัวนี้

อย่างกรณีของฉันเองก็ใช้วีซ่าตัวนี้ในการทำงาน โดยนายจ้างจะต้องเป็นผู้ยื่นเรื่องให้กับหน่วยงานภาครัฐ  เอกสารที่ใช้มีทั้งสัญญาจ้าง หนังสือรับรองที่พัก หลักฐานรายได้ และประกันสุขภาพ ตอนนั้นใช้เวลาประมาณ 6 สัปดาห์กว่าจะอนุมัติ และยังต้องลงทะเบียนที่อยู่กับตำรวจท้องถิ่นภายใน 3 วันหลังเดินทางถึงด้วย

นอกจากกรณีไปทำงานแบบฉันแล้ว หากเป็นเหตุผลอื่นๆ ไม่ว่าจะมาเรียนต่อ มาอยู่กับแฟน หรือดิจิทัลโนแมด ที่แพลนจะอยู่เกิน 90 วัน ก็ต้องใช้วีซ่าตัวนี้เหมือนกัน

สิ่งที่ต่างกันคือ เอกสารที่ต้องใช้จะปรับไปตามวัตถุประสงค์ของการมาอยู่ เช่น ถ้ามาเรียน ก็ต้องมีจดหมายตอบรับจากมหาวิทยาลัย หลักฐานการเงิน และประกันสุขภาพนักเรียน ส่วนถ้ามาเป็นดิจิทัลโนแมดก็ต้องโชว์รายได้ที่มั่นคง และเอกสารยืนยันว่าทำงานกับบริษัทที่อยู่นอกโครเอเชีย หรือถ้ามาอยู่กับคู่ครองก็จะใช้พวกเอกสารแสดงความสัมพันธ์ ใบสมรส หรือหลักฐานการอยู่ร่วมกัน

โดยรวมแล้วเอกสารหลักๆ ก็ยังคล้ายกัน เช่น พาสปอร์ต ประกันสุขภาพ หลักฐานที่พัก และแบบฟอร์มคำขอ เพียงแต่รายละเอียดปลีกย่อยจะเปลี่ยนไปตามจุดประสงค์ที่ยื่นขอวีซ่าเท่านั้นเอง

วีซ่าพำนักถาวร (Permanent Residence)

สำหรับใครวางแผนเกษียณหรือใช้ชีวิตระยะยาวต้องการอยู่ในโครเอเชีย 5 ปีขึ้นไป ต้องมีรายได้มั่นคง ประกันสุขภาพ และผ่านการสอบภาษาโครเอเชียระดับพื้นฐาน ซึ่งหากได้วีซ่าตัวนี้ ชีวิตจะง่ายขึ้นมาก ไม่ต้องต่อวีซ่าทุกปี สามารถทำงานกับบริษัทไหนก็ได้ เปิดธุรกิจเองก็ได้ หรือจะเดินทางเที่ยวในประเทศกลุ่มเชงเก้นก็สะดวกขึ้นเยอะ 

ประสบการณ์การทำวีซ่าของฉันเป็นอย่างไรบ้าง?

จากประสบการณ์ส่วนตัว ฉันอยากแนะนำว่าระบบราชการของโครเอเชีย ไม่ได้รวดเร็วหรือทันใจ แบบที่เราคุ้นเคยในไทยเลย ต้องใช้ความใจเย็นและความอดทนสูงมาก โดยเฉพาะเรื่องเอกสารที่แทบทุกอย่างต้องใช้ “ตัวจริง” และต้องส่งข้ามประเทศไปมาหลายรอบ เช่น ตอนขอ ใบอนุญาตทำงานและพำนัก (Work and Stay Permit) ต้องใช้เอกสารที่มีลายเซ็นเจ้าหน้าที่รัฐของไทยและโครเอเชีย  ตอนขอในไทยใช้เวลาแค่ 2 วัน แต่ของโครเอเชีย ฉันรอถึง 2 เดือนเต็ม กว่าจะอนุมัติและสแตมป์เอกสารกลับมา

Zagreb street
ซาเกร็บเป็นเมืองที่สวยมาก แต่ว่าการจะมาอยู่ที่นี่ระยะยาว ก็ต้องเตรียมตัวนานเหมือนกัน เพราะว่าการทำวีซ่าที่นี่ใช้เวลานานมาก

แค่นั้นยังไม่จบ หลังจากเอกสารได้รับการอนุมัติจากฝั่งโครเอเชียแล้ว ต้องส่งตัวจริงกลับมาที่ไทย เพื่อให้กงสุลไทยเซ็นรับรอง แล้วจากนั้นต้องส่งต่อไปที่สถานทูตไทยในฮังการี (เพราะโครเอเชียไม่มีสถานทูตไทย) สุดท้ายเอกสารทั้งหมดจะต้องถูกส่งกลับไปยัง สถานทูตโครเอเชียในมาเลเซีย ซึ่งเป็นเขตที่ดูแลการยื่นวีซ่าของคนไทยโดยเฉพาะ แต่ถ้าเป็นชาวต่างชาติจากประเทศอื่นๆ ก็จะต้องส่งเอกสารไปยังสถานทูตโครเอเชียที่ใกล้กับประเทศตัวเองที่สุด เนื่องจากโครเอเชียไม่ได้มีสถานทูตกระจายอยู่ทุกประเทศแบบประเทศใหญ่ๆ ทำให้ขั้นตอนการทำวีซ่าอาจต้องอ้อมไปอ้อมมา และใช้เวลามากกว่าที่คิด

Advertisement

เมื่อทุกอย่างไปถึงมือเจ้าหน้าที่โครเอเชียในมาเลเซียแล้ว ก็ต้องรออีกอย่างน้อย 6 สัปดาห์ เพื่อพิจารณารอบสุดท้าย และที่สำคัญคือ เมื่อวีซ่าอนุมัติแล้ว ต้องเดินทางเข้าประเทศภายใน 14 วัน เท่านั้น

รวมระยะเวลาตั้งแต่เริ่มจนจบ ฉันใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 6 เดือน พอดีเป๊ะ เรียกได้ว่าใครคิดจะย้ายมาควรเริ่มวางแผนและเตรียมเอกสารไว้ให้ดี แม้กระบวนการจะดูวุ่นวายและเชื่องช้าไปบ้าง แต่ถ้าเตรียมตัวดี วางแผนเผื่อเวลาไว้ล่วงหน้า ก็จะช่วยให้ทุกอย่างผ่านไปได้แบบไม่หัวร้อนมากนัก

วิธีสมัคร OIB ในโครเอชีย

หลังจากที่เดินทางเข้าประเทศโครเอเชีย สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือการลงทะเบียนที่อยู่กับตำรวจท้องถิ่นภายใน 3 วัน ซึ่งถือเป็นข้อบังคับตามกฎหมาย หากพักใน Airbnb หรือเช่าระยะยาว เจ้าของที่พักมักจะช่วยพาไปหรือลงทะเบียนแทน แต่ถ้าไม่ไป ตำรวจอาจติดต่อกลับมายังเจ้าของบ้านหรือนายจ้าง ซึ่งไม่ต้องตกใจ แค่ไปยืนยันตัวตนที่สำนักงานให้เขาเห็นหน้าก็พอแล้ว

OIB คืออะไร

หลังจากที่คุณยืนยันตัวตนเรียบร้อยแล้ว หากวางแผนจะอยู่ในโครเอเชียนานกว่า 3 เดือน ไม่ว่าจะมาเรียน ทำงาน หรือเปิดธุรกิจส่วนตัว ก็จำเป็นต้องมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีที่เรียกว่า OIB (Osobni identifikacijski broj) ซึ่งใช้ทำธุรกรรมแทบทุกอย่าง ตั้งแต่เปิดบัญชีธนาคาร จ่ายค่าสาธารณูปโภค รับเงินเดือน ลงทะเบียนที่อยู่ ไปจนถึงซื้อของออนไลน์บางเว็บไซต์เลยทีเดียว เรียกได้ว่า “ถ้าไม่มี OIB ก็แทบจะทำอะไรไม่ได้เลย”

โดยปกติแล้วเมื่อคุณยื่นขอวีซ่า คุณจะได้รับเอกสารแผ่นหนึ่งจากสถานทูตที่ระบุเลข OIB ของคุณมาอยู่แล้ว และต้องนำเอกสารนี้ไปยืนยันตัวเมื่อถึงโครเอเชีย

ขั้นตอนและเอกสารที่ใช้ในการขอ OIB

ขั้นตอนการขอ OIB ก็ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่ไปที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือสำนักงานภาษีของเมืองที่คุณอยู่ เจ้าหน้าที่จะให้แบบฟอร์มมากรอก พร้อมขอเอกสารยืนยันตัวตนต่าง ๆ เช่น 

  • พาสปอร์ตตัวจริงและสำเนา
  • หลักฐานที่อยู่ในโครเอเชีย (เช่น สัญญาเช่าบ้าน หรือใบรับรองจากเจ้าของบ้าน)
  • รูปถ่ายสี ขนาดประมาณ 3.5 x 4.5 ซม. จำนวน 2 ใบ
  • เอกสารแสดงวัตถุประสงค์ เช่น จดหมายตอบรับจากบริษัท หรือหลักฐานการศึกษา 

ข้อแนะนำ: หากไปแล้ว ให้ยื่นขอ Form 16a ซึ่งเป็นหนังสือรับรองจากสถานีตำรวจพร้อมกันไปด้วย เอกสารตัวนี้จะช่วยให้คุณเปิดบัญชีธนาคารได้ทันที และไม่ต้องเสียเวลารอคิวใหม่ตั้งแต่ต้น

ตอนขอ OIB ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในสถานีตำรวจเมืองสปลิต การติดต่อทำได้ในช่วงเวลา 09.00 – 11.15 น. และ 13.00 – 14.00 น. ของวันพุธ และศุกร์เท่านั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ค่อนข้างเข้มงวด ถ้าเกินเวลาเพียงนิดเดียว หรือไม่เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน อาจต้องรอสัปดาห์ถัดไปเลย แต่ถ้าทุกอย่างถูกต้อง ใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที ในการกรอกแบบฟอร์ม พิมพ์ลายนิ้วมือ และรับเอกสารกระดาษสีขาวเล็ก ๆ ที่มีเลข OIB ของเรา พร้อมกับเอกสารใบเสร็จรับเงินที่เรียกว่า Potvrda o uplati (Payment Receipt) ซึ่งมีสีแดงและสีเขียวกลับบ้านมาด้วย

ขั้นตอนสุดท้าย คือ การนำเอกสารใบเสร็จที่เป็นสีแดงและสีเขียว ไปจ่ายเงินที่ไปรษณีย์ใกล้บ้าน โดยค่าธรรมเนียมจะอยู่ที่ประมาณ 30-40 ยูโร โดยจะได้รับตราประทับยืนยันการชำระเงิน (สแตมป์เงินสด) ที่ต้องนำมาแปะลงบนใบเสร็จเพื่อเป็นหลักฐาน

หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่จะแจ้งให้ไปรับบัตรประจำตัวเลขประจำตัวส่วนบุคคล (OIB card) อีกประมาณ 2 เดือนให้หลัง โดยจะต้องนำเอกสารกระดาษสีขาวเล็ก ๆ ตอนแรกไปด้วย พร้อมกับเอกสารใบเสร็จการจ่ายเงินอีกสองใบ และรับบัตรประจำตัว (ID Card) หรือเอกสารรับรองเลข OIB ฉบับทางการ แต่ปกติแล้วในชีวิตประจำวัน คุณสามารถใช้สำเนาเอกสาร หรือแจ้งเลข OIB ให้เจ้าหน้าที่ทราบได้ ยกเว้นแต่จะไปเปิดบัญชีธนาคาร หรือติดต่อราชการ

การหางาน

หากใครต้องการที่จะหางานที่นี่ ลองมาดูกันดีกว่าว่ามีงานอะไรบ้างที่คนต่างชาติชอบทำกัน

ทำงานอะไรดีที่โครเอเชีย? 

คนโครเอเชียส่วนมากจะใช้ชีวิตตามฤดูกาล โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวอย่างสปลิทหรือดูบรอฟนิก ฤดูร้อนคือช่วงทองของการทำงานเมืองทั้งเมืองจะคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยว ส่วนฤดูหนาวคือเวลาพักผ่อน  ร้านค้าหลายแห่งปิดปรับปรุง เรือหยุดวิ่ง บางธุรกิจหยุดยาวทั้งฤดูเหมือนจำศีล รอให้ฤดูร้อนกลับมาอีกครั้ง เป็นวิถีชีวิตตามสไตล์คนยุโรปแท้ๆ เลย 

สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้ คือ ชาวโครเอเชียจำนวนไม่น้อย เลือกที่จะ “ออกนอกประเทศ” ในช่วงหน้าหนาว โดยเฉพาะหนุ่มสาวไฟแรง มักจะย้ายไปทำงานในประเทศแถบเยอรมนี ออสเตรีย หรืออิตาลีกันมากกว่า เพราะประเทศเหล่านี้มีสวัสดิการที่ดีกว่า และให้รายได้สูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ในขณะเดียวกันค่าครองชีพก็สูงตามไปด้วย เพื่อนของฉันเล่าให้ฟังว่า เพื่อนของเขาย้ายไปอยู่เยอรมนีถาวรแล้ว เพราะทำงานหนักเท่ากัน แต่ได้เงินมากกว่ากันเกือบเท่าตัว แม้ค่าครองชีพจะสูงสักหน่อย แต่เขาพอใจกับงานในบริษัทใหญ่ระดับโลกมากกว่างานบริการในโครเอเชีย

สำหรับฉันแล้ว โครเอเชียถือว่าเปิดกว้างสำหรับ ตลาดแรงงานต่างชาติ มากกว่าประเทศอื่นๆ ในยุโรป ทั้งหางานและไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องมีเอกสารด้านภาษาหรือใบรับรองใดๆ เหมาะสำหรับคนที่อยากมาเปลี่ยนบรรยากาศชีวิตสักพัก หรือใช้ชีวิตแบบ Gap Year ที่ไม่ได้เน้นความมั่นคงมากนัก เหมาะกับคนที่อยากทำงานไปด้วย เที่ยวไปด้วย ใช้ชีวิตริมทะเล ท่ามกลางแสงแดดดี อาหารทะเลสด เบียร์ถูก และพบปะผู้คนจากทั่วโลก

แต่ถ้าจะหางานในโครเอเชียต้องมาในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน (High Season) เพราะงานบริการเฟื่องฟูสุดๆ เพียงแค่เดินไปตามร้านอาหาร โรงแรม บาร์ คาเฟ่ ร้านเช่าเรือ ทัวร์ริ่ง ฯลฯ ก็มีป้าย “รับสมัครงาน” เต็มไปหมด หรือจะหาทางออนไลน์แค่เปิด LinkedIn, Glassdoor หรือเข้าไปในกลุ่ม Facebook อย่าง “Expats in Croatia” หรือ “Expats in Zagreb [Official]” ก็เจองานให้เลือกเพียบ ตั้งแต่พนักงานเสิร์ฟ บาร์เทนเดอร์ คนดูแลเรือ ไปจนถึงไกด์ทัวร์ ถ้าพูดภาษาอังกฤษคล่อง หรือมีทักษะการขับเรือยิ่งได้เปรียบ รายได้ดีกว่าเฉลี่ย แต่งานส่วนใหญ่จะเป็นงานแบบสัญญาจ้างสั้นๆ แค่ 3–6 เดือน เท่านั้น ดังนั้น อาจจะไม่ได้มีโบนัส หรือสวัสดิการพิเศษแบบที่คุณคาดหวัง แต่ก็เหมาะกับการทำงานที่รายได้ดี และเที่ยวไปด้วยได้

ทำงานกับคนโครเอเชียเป็นอย่างไรบ้าง?

ถ้าคุณอยากมาทำงานไปด้วย ปาร์ตี้ด้วย ให้แนะนำให้เลือกสถานที่ทำงานให้ดี หากคุณได้ร่วมงานกับคนโครเอเชียในธุรกิจท้องถิ่นหรือหน่วยงานรัฐ อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เพราะสไตล์คนยุโรป คือ ค่อนข้างเงียบ ต่างคนต่างทำงาน ไม่มี small talk มากนัก ทุกอย่างตรงเวลา มีระบบ เลิกงานก็แยกย้ายกัน แต่ถ้าถ้าไปทำงานในสายบริการ บาร์ ร้านอาหาร บริษัททัวร์ บรรยากาศจะสนุกและอบอุ่นกว่ามาก เพราะเต็มไปด้วยชาวต่างชาติที่มาใช้ชีวิตระยะสั้นเหมือนกัน

อย่างเพื่อนฉันที่ทำงานในบริษัททัวร์ที่ดูบรอฟนิกเล่าว่า บรรยากาศการทำงานเหมือนงานกลุ่มใหญ่ที่มีเพื่อนจากทั่วโลก ทุกคนช่วยกัน คุยกันได้ทุกเรื่อง และฝึกภาษาอังกฤษทุกวัน

สามารถหางานที่มั่นคงทั้งปีได้หรือไม่?

ถ้าอยากหางานที่มั่นคงและทำได้ทั้งปี โครเอเชียก็ยังมีสายงานที่น่าสนใจอีกหลายสาย เช่น สายเทคโนโลยี อย่างโปรแกรมเมอร์ Data Analyst หรือ IT Support โดยเฉพาะในเมืองหลวงอย่างซาเกร็บ ที่เริ่มมี Tech Startup เกิดขึ้นเรื่อยๆ ฉันเองแม้ไม่ได้ทำงานสายเทค แต่จากที่เข้าไปดูในกลุ่ม LinkedIn หรือ Community ของคนในโครเอเชีย หลายบริษัทรับชาวต่างชาติ และเปิดโอกาสให้ Remote Work ได้ ค่าแรงโดยประมาณอยู่ที่ 1,500 – 3,000 ยูโรต่อเดือน แล้วแต่งานและประสบการณ์

อีกสายหนึ่งคือระบบสุขภาพ แพทย์ พยาบาล เภสัชกร เป็นตำแหน่งที่ยังขาดแคลนในหลายพื้นที่ หากคุณมีวุฒิที่สอบเทียบได้ และภาษาโครเอเชียในระดับ B2 ก็มีโอกาสสูงที่จะได้งานในระบบนี้ รายได้เฉลี่ยประมาณ 1,200 – 2,500 ยูโรต่อเดือน และทำได้ทั้งปีโดยไม่ต้องพึ่งฤดูกาล

Split in croatia
ฉันอยู่ที่เมืองสปลิทเป็นเวลา 1 ปีเต็ม

สายสุดท้ายที่ต้องพูดถึงคือแรงงานฝีมือ เช่น ช่างไฟฟ้า ช่างไม้ ช่างก่อสร้าง ช่างปูน ที่มีให้ทำตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาว ที่ทุกธุรกิจปิดปรับปรุง เร่งงานให้เสร็จทันก่อนฤดูร้อนมาถึง  ค่าแรงเฉลี่ยอยู่ที่ 10 – 25 ยูโรต่อชั่วโมง ขึ้นอยู่กับทักษะ ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิสูง ขอแค่ขยันและมีประสบการณ์

รวมๆ แล้ว โครเอเชียถือเป็นประเทศที่สนุกสนานไปกับการทำงานได้ แต่ถ้าคุณอยากใช้ชีวิตสไตล์ยุโรปริมทะเล บรรยากาศสบายๆ ไม่รีบร้อน มีโอกาสฝึกภาษา ฝึกชีวิต ได้พบปะคนจากทั่วโลก และมีเวลาสำหรับการทำงานบ้าง พักผ่อนบ้าง ที่นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเลยทีเดียว

ค่าครองชีพในโครเอเชีย

ถ้าไม่ได้ใช้ชีวิตหรูหรา ค่าครองชีพสำหรับคนโสดทัวไปจะเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 550 – 900 ยูโรต่อเดือน ขึ้นอยู่กับเมืองที่อาศัยและไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ค่าใช้จ่ายหลัก ๆ อย่าง ค่าที่พัก อาหาร ขนส่ง และของใช้ส่วนตัว ยังถือว่าอยู่ในระดับที่จับต้องได้ โดยเฉพาะถ้าทำอาหารกินเอง และเลือกซื้อของจากซูเปอร์มาร์เก็ตแทนการไปตลาดที่เน้นนักท่องเที่ยว

ถ้าคุณตั้งใจย้ายไปคนเดียวเพื่อทำงานเก็บเงินช่วงหน้าร้อน หลายบริษัทที่นั่นจะมีสวัสดิการรองรับ เช่น ค่าอาหาร ที่พัก และค่าเดินทาง บางแห่งมีที่พักให้ฟรีเลยด้วย

อย่างเช่น เพื่อนคนไทยของฉันที่เคยทำงานในรีสอร์ทบนเกาะใกล้เมืองสปลิท เขาทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาด ได้ทั้งอาหารฟรีทุกมื้อ ที่พักฟรีบนเกาะ ไม่ต้องเดินทางไปไหนไกล ทำให้แทบไม่ต้องใช้เงินเลยในช่วงวันทำงาน จะใช้เงินก็ต่อเมื่อออกมาเที่ยวตามเกาะอื่น ๆ ในวันหยุดเท่านั้น หรือตัวฉันเอง ที่เคยทำงานในร้านอาหารไทยในโครเอเชีย ก็มีอาหารไทยให้กินฟรีทุกมื้อเหมือนกัน ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะมาก ๆ

ถ้าอยากรู้รายละเอียดแบบเจาะลึก ทั้งเรื่องค่าครองชีพในแต่ละเมือง รวมถึงเทคนิคประหยัดงบต่าง ๆ ลองอ่านบทความเต็มได้ที่นี่เลย

การหาบ้าน

มีหลายเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับการหาบ้านที่นี่และจะแตกต่างกันมากในแต่ละฤดู

ที่พักในโครเอเชียหายากไหม ราคาเท่าไหร่ มีแบบไหนบ้าง?

ถ้าคุณกำลังวางแผนจะมาอยู่ที่โครเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นหรือระยะยาว เรื่อง “ที่พัก” ถือเป็นสิ่งที่ควรเตรียมตัวล่วงหน้าให้ดี โดยเฉพาะถ้ามาช่วงหน้าร้อน เพราะนอกจากจะต้องใช้เอกสารที่พักในการยื่นวีซ่าแล้ว ที่พักดี ๆ มักจะถูกจองหมดเร็วมาก และราคาก็พุ่งสูงขึ้นเกือบทุกเมือง 

ตอนที่ฉันอาศัยอยู่ที่นั่น ฉันสังเกตเห็นคนมากมายเลือกเช่าอพาร์ตเมนต์แบบ 1 ห้องนอนหรือ 2 ห้องนอนตามแถบนอกเมืองมากกว่า เพราะราคาถูกกว่าในเมืองเยอะมาก แล้วยังได้พื้นที่กว้างขวางพอสมควร ไม่แออัดเหมือนห้องสตูดิโอในเมืองเก่า บางคนที่เลือกอยู่ใจกลางเมือง อาจเจอห้องสตูดิโอเก่า ๆ ราคาพุ่งสูงถึง 2,000 – 3,000 ยูโรในช่วงหน้าร้อน แต่พอหน้าหนาว ราคาจะลงมาประมาณ 500 ยูโรเช่นกัน

อย่างตอนที่ฉันอยู่สปลิท ในช่วงฤดูร้อนเคยเช่าอพาร์ตเมนต์ 2 ห้องนอนแถบนอกเมือง ราคาอยู่ที่ประมาณ 900 ยูโรต่อเดือน ยังไม่รวมค่าสาธารณูปโภค แต่พอช่วงหน้าหนาว ที่พักหลังเดียวกันลดเหลือแค่ประมาณ 500 ยูโร รวมค่าสาธารณูปโภคครบเลย ซึ่งช่วยประหยัดไปได้เยอะ

เวปหาบ้านแนะนำ

แต่หากอยากได้บ้านพักราคาถูก แบบที่คนท้องถิ่นอยู่อาศัน ฉันแนะนำให้ใช้เว็บ Njuškalo เป็นหลัก เพราะมีตัวเลือกเยอะ และราคาดีกว่าพวก Airbnb หรือ Booking มาก หรืออาจจะลองหาบ้านเช่าใน Facebook กลุ่มเดียวกับกลุ่มหางานก็มีให้เลือกไม่น้อยเลยทีเดียว

สัญญาเช่าบ้าน

สิ่งที่ต้องระวังมาก ๆ คือเรื่อง สัญญาเช่าแบบระยะสั้น เพราะเจ้าของบ้านบางคนจะไม่ปล่อยให้เช่าระยะยาวในช่วงหน้าร้อน เพื่อเก็บไว้ทำ Airbnb หรือปล่อยเช่าแบบรายวันแทน ทำให้หาที่พักระยะยาวยากขึ้นและราคาก็สูงขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ บางที่ราคาที่ลงไว้ก็ยังไม่รวมค่าสาธารณูปโภคด้วยนะ เช่น ค่าไฟ ค่าน้ำ หรือแม้แต่ไม่มีไวไฟให้ ส่วนที่จอดรถก็ต้องเช็คดี ๆ ว่ามีหรือเปล่า เพราะบางที่ไม่มีให้เลย ซึ่งอาจไม่สะดวกถ้าคุณมีรถยนต์ 

ที่สำคัญอีกเรื่องคือ บางเจ้าของบ้านอาจไม่ออกเอกสารยืนยันการพักอาศัยให้ ทำให้คุณไม่สามารถใช้ยื่นขอวีซ่าระยะยาวหรือทำเรื่องราชการอื่น ๆ ได้เลย ดังนั้น ถ้าคุณตั้งใจจะอยู่โครเอเชียระยะยาว อย่าลืมขอสัญญาเช่าอย่างเป็นทางการที่ชัดเจนและครบถ้วน จะได้ไม่มีปัญหาเวลาใช้ทำเรื่องสำคัญต่าง ๆ

ระบบสาธารณูปโภคและอินเทอร์เน็ต

ตอนที่เราอยู่โครเอเชีย สิ่งที่ต้องจัดการทุกเดือนก็หนีไม่พ้นค่าสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่างค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าทิ้งขยะ และอินเทอร์เน็ต รวมๆ แล้วก็อยู่ที่ประมาณ 50 – 100 ยูโรต่อเดือน แล้วแต่ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน วิธีจ่ายเงินก็ไม่ยุ่งยากเลย บางคนจ่ายตรงกับเจ้าของบ้าน หรือแสกนบิลจ่ายผ่านแอปธนาคารก็ได้เหมือนกัน ง่ายพอๆ กับอยู่ไทยเลย

สำหรับสายติดโซเชียล หรือคนไทยที่ชอบแซวกันว่า “ไม่มีเน็ตที่ไหนดีเท่าประเทศไทย” ขอบอกว่า มุกนี้ใช้ไม่ได้กับโครเอเชียเลยจริงๆ เพราะอินเทอร์เน็ตที่นี่เร็ว เสถียร และครอบคลุมทั่วถึงมาก ไม่ว่าจะอยู่ในเมืองใหญ่หรือต่างจังหวัดก็ยังเล่น TikTok, YouTube หรือวิดีโอคอลได้แบบลื่นๆ ไม่มีสะดุด อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีข้อควรระวัง โดยเฉพาะถ้าคุณพักอาศัยอยู่ใกล้สนามบิน เพราะสัญญาณมือถือมักจะไม่ค่อยนิ่งตอนที่มีเครื่องบินขึ้น-ลง อย่างบ้านหลังแรกที่ฉันเช่าอยู่ใกล้สนามบินสปลิท ช่วงเวลาที่เครื่องบินเทกออฟ อินเทอร์เน็ตมือถือใช้ไม่ได้เลย แต่โชคดีที่เจ้าของบ้านติด Wi-Fi ไว้ให้ ใช้งานได้สบาย เลยไม่ส่งผลกระทบมากนัก 

สำหรับค่ายมือถือมีผู้ให้บริการหลักอยู่ 3 เจ้า คือ Hrvatski Telekom (T-Mobile), A1 และ Telemach ซึ่งแต่ละเจ้าก็มีแพ็กเกจให้เลือกหลากหลาย ทั้งแบบรายเดือนและแบบเติมเงิน ราคาจะเริ่มต้นราว 10 – 20 ยูโรต่อเดือน ขึ้นอยู่กับจำนวนดาต้าและนาทีที่ใช้โทร อย่างฉันเลือกใช้แพ็กเกจ 10GB ของค่าย A1 อยู่ที่ประมาณ 9.99 ยูโรต่อเดือน ใช้งานได้ลื่นดี ไม่เคยมีปัญหาอะไร ส่วนตัวชอบแบบเติมเงินเพราะไม่ต้องเซ็นสัญญาให้ยุ่งยาก เติมเท่าที่ใช้ ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ง่าย และถ้าไม่อยู่ประเทศนาน ๆ ก็แค่เลิกใช้ไปเลย ไม่ต้องเสียเงินทิ้งรายเดือนเปล่า ๆ ถ้าเพิ่งย้ายมาใหม่ ลองเริ่มจากซิมเติมเงินก่อนก็ได้ เผื่อจะเปลี่ยนใจภายหลัง หรือย้ายค่ายก็ทำได้ง่าย ไม่ผูกมัดอะไรเลย

แนะนำ: ถ้าใครต้องทำงานออนไลน์ทุกวัน แนะนำให้สอบถามเรื่อง Wi-Fi กับเจ้าของบ้านให้ชัดเจนก่อนเช่า จะได้ไม่พลาดช่วงประชุมสำคัญเพราะเน็ตหลุดแบบไม่รู้ตัว

การเปิดบัญชีธนาคาร

หากคุณมีบัญชีธนาคารที่อยู่ในยุโรปหรืออเมริกาอยู่แล้ว อย่างบัญชี Revolut, Wise หรือ N26 ก็สามารถใช้งานในโครเอเชียได้เกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะรูดบัตร รับเงิน หรือโอนเงิน แต่หากวางแผนจะทำงาน รับเงินเดือน หรือจดทะเบียนธุรกิจในประเทศ การมีบัญชีธนาคารที่อยู่ในโครเอเชียก็ย่อมดีกว่า เพราะทำให้ใช้งานสะดวก และไม่ต้องกังวลเรื่องค่าธรรมเนียมธนาคารด้วย

ส่วนมากชาวต่างชาติมักจะใช้งานธนาคาร Zagrebačka banka, PBZ (Privredna banka Zagreb), Erste Bank และอีกเจ้าที่ฉันเลือกใช้ คือ OTP banka ซึ่งเป็นธนาคารที่ติดต่อง่าย ใช้งานง่าย สาขาเยอะ และมีแอปพลิเคชันภาษาอังกฤษให้ใช้งาน

การเปิดบัญชีธนาคาร จำเป็นต้องใช้

  • พาสปอร์ต, OIB (หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี) ซึ่งสามารถขอได้จากสำนักงานภาษีท้องถิ่น
  • หลักฐานที่อยู่ในโครเอเชีย เช่น สัญญาเช่าบ้าน หรือหนังสือรับรองจากเจ้าของที่พัก 
  • เงินค่าเปิดบัญชีเล็กน้อย ประมาณ 0.99 ยูโร เท่านั้น

จากประสบการณ์ของฉัน ตอนเปิดบัญชีกับ OTP banka ต้องเตรียมเอกสารมากกว่าที่คิดไว้ในตอนแรก เพราะธนาคารขอเอกสารเพิ่มเติม เช่น สัญญาจ้างงาน, เบอร์โทรศัพท์ในโครเอเชีย (แต่ถ้ายังไม่มี ก็ใช้เบอร์ไทยลงทะเบียนไปก่อนได้ แล้วค่อยแจ้งเปลี่ยนทีหลัง), อีเมลสำหรับติดต่อ, และ หนังสือรับรองจากสถานีตำรวจ ซึ่งก็คือแบบฟอร์ม Form 16a ที่ใช้ยืนยันว่าเราอาศัยอยู่ในที่อยู่นั้นจริง ๆ

แนะนำ: เอกสาร Form 16a สามารถขอได้ตั้งแต่ตอนที่ไปยื่นขอ OIB และต้องรอประมาณ 1 เดือน กว่าจะได้เอกสารฉบับจริง หลังจากนั้น หากคุณอยากใช้งานแอปธนาคาร ก็ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่เปิดให้โดยเฉพาะ เพราะแอปจะต้องมีการยืนยันตัวตนผ่านธนาคารเท่านั้น เมื่อเอกสารทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จะต้องรออีกประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อรับซองเอกสารสำคัญจากธนาคาร ซึ่งใช้สำหรับยืนยันตัวตนเพื่อเริ่มใช้งานระบบต่าง ๆ ได้จริง

สุขภาพ

ชาวต่างชาติที่นี่จะอาศัยระบบประกันสุขภาพของรัฐหรือประกันสุขภาพเอกชนเป็นหลักเวลาที่ต้องหาหมอ

ระบบสุขภาพในโครเอเชียไว้วางใจได้หรือไม่?

สิ่งหนึ่งที่หลายคนกังวลเวลาย้ายมาอยู่ต่างประเทศ คือ “ถ้าเกิดไม่สบายขึ้นมาจะทำอย่างไร?” แต่พอฉันมาอยู่โครเอเชียจริง ๆ ก็พบว่าระบบสุขภาพที่นี่ถือว่าใช้ได้เลย ทั้งเรื่องการเข้าถึงบริการและคุณภาพการรักษา ไม่ต่างจากที่ไทยมากนัก เพราะมีทั้งโรงพยาบาลรัฐ คลินิกเอกชน รวมถึงร้านขายยาที่หาได้ทั่วไปแทบทุกมุมเมือง

ระบบประกันสุขภาพของรัฐ (HZZO)

ในบริษัทที่ฉันเคยทำงาน ทุกคนสามารถเข้ารับการรักษาได้ง่ายมาก เพราะแต่ละคนมีประกันสุขภาพ HZZO (Croatian Health Insurance Fund) ที่ทางบริษัทต้องเป็นคนดำเนินเรื่องให้ และบางคนก็มีประกันเสริมของตัวเองไว้ด้วย เวลาไปโรงพยาบาลหรือคลินิกแค่ยื่น OIB หรือพาสปอร์ต หรือบางคนอาจจะได้รับบัตร HZZO (สีน้ำเงินๆ) ส่งมาทางไปรษณีย์ด้วยซ้ำ ยิ่งทำให้สะดวกขึ้นอีกมาก

แต่มีข้อแม้คือ ถ้าคุณใช้สิทธิ์รักษาผ่านระบบประกันสุขภาพของรัฐ (HZZO) และต้องการรักษาโรคประจำตัว ที่ไม่ใช้เหตุฉุกเฉิน จำเป็นต้องมีแพทย์ประจำตัวก่อน โดยจะต้องลงทะเบียนเลือกหมอประจำตัว (General Practitioner หรือ GP) ก่อน จึงจะสามารถเข้ารับการรักษาแบบปกติได้ เช่น ตรวจทั่วไป, ให้ใบส่งตัวไปหาหมอเฉพาะทาง, หรือออกใบสั่งยา 

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณต้องการเข้ารับการรักษาแบบต่อเนื่องที่ไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน เช่น ตรวจสุขภาพประจำปี หรือมีโรคประจำตัว ต้องลงทะเบียนเลือกหมอประจำตัวก่อน หรือที่เรียกว่า General Practitioner (GP) ซึ่งจะเป็นหมอหลักที่ดูแลคุณในระบบ HZZO ทั้งเรื่องการให้คำปรึกษาเบื้องต้น, การส่งตัวไปหาหมอเฉพาะทาง, หรือออกใบสั่งยา

Dom Zdravlja (ศูนย์สุขภาพชุมชน)

ส่วนกรณีเจ็บป่วยแบบไม่ทันตั้งตัว โครเอเชียก็มี “Dom Zdravlja (ศูนย์สุขภาพชุมชน)” อยู่ทั่วไป สามารถ walk-in เข้าพบแพทย์ได้ถ้าอาการไม่รุนแรง หรือหากเป็นเหตุฉุกเฉิน เช่น เจ็บหน้าอก หน้ามืด หรือหมดสติ สามารถโทรเบอร์ 112 (ใช้ได้ทั้งรถพยาบาล ตำรวจ และกู้ภัย) ได้ทันทีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเหมือนในสหรัฐอเมริกา

ประกันสุขภาพเอกชน

หากคุณมีประกันสุขภาพเอกชน ก็จะเข้ารับบริการกับคลินิกเอกชนได้เลยโดยไม่ต้องมีหมอประจำตัว ซึ่งสะดวกมาก ไม่ต้องรอนาน แต่อาจต้องจ่ายมากขึ้นนิดหน่อย ค่าพบแพทย์เริ่มต้นประมาณ 40 – 100 ยูโร แล้วแต่สถานที่ ถ้ามีการตรวจเพิ่มเติม เช่น อัลตราซาวด์, เลือด หรือ X-ray ก็จะเพิ่มขึ้นตามนั้น

ยาสามัญประจำบ้าน

ส่วนยาเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างพารา ยาแก้แพ้ หรือยาแก้ปวดท้อง สามารถหาซื้อได้ง่ายจากร้านขายยา (สังเกตป้ายที่เขียนว่า Ljekarna เป็นสีเขียวๆ) โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ค่ะ แต่ยาควบคุมหรือยาปฏิชีวนะก็ยังต้องมีใบสั่งจากแพทย์ตามปกติ พนักงานส่วนใหญ่ก็พูดภาษาอังกฤษได้ระดับหนึ่ง หรือบอกอาการ เภสัชกรก็จะจัดยาให้ตามความเหมาะสม

พูดง่าย ๆ คือ ถ้าคุณลงทะเบียนให้เรียบร้อย และมีประกันสุขภาพที่เหมาะกับตัวเอง การใช้ชีวิตในโครเอเชียก็จะราบรื่นมาก แม้จะต้องเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็ตาม

จำเป็นต้องมีประกันสุขภาพหรือไม่?

การมีประกันสุขภาพในโครเอเชีย ไม่ใช่แค่เรื่องทางเลือก แต่เป็นเรื่องจำเป็น โดยเฉพาะถ้าคุณวางแผนจะอาศัยอยู่ที่นี่มากกว่า 3 เดือนขึ้นไป โดยทั่วไป ถ้าคุณเข้าประเทศมาอย่างถูกกฎหมายและผ่านขั้นตอนการลงทะเบียนตามที่รัฐกำหนด คุณจะมีสิทธิในระบบประกันสุขภาพของรัฐทันที นั่นคือ HZZO (Croatian Health Insurance Fund) ซึ่งเป็นระบบประกันภาคบังคับ

ตอนนั้นฉันจ่ายค่า HZZO จะอยู่ประมาณ 70 ยูโรต่อเดือน แม้จะไม่เคยใช้งานแต่ก็รู้สึกปลอดภัยกว่า และเมื่อคุณเข้ารับการรักษา จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเล็กน้อยประมาณ 1.32 ยูโรต่อครั้ง เรียกว่า “co-payment” หรือค่าร่วมจ่าย ซึ่งในบางกรณีก็อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าตรวจเฉพาะทาง หรือค่ายาที่ไม่อยู่ในลิสต์ของ HZZO

แต่ถ้าใครรู้ตัวว่าป่วยบ่อย มีโรคประจำตัว หรือเป็นกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ก็แนะนำให้ทำประกันสุขภาพเสริม ซึ่งจะครอบคลุมค่ารักษาที่ต้องร่วมจ่าย และบางเจ้าก็ยังครอบคลุมบริการพิเศษอื่น ๆ เช่น การตรวจสุขภาพเชิงลึก การพบหมอเฉพาะทางโดยไม่ต้องผ่าน GP และการรักษาในคลินิกเอกชนได้ด้วย

ราคาค่าเบี้ยประกันสุขภาพเสริมจะอยู่ที่ประมาณ 10 – 40 ยูโรต่อเดือน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขความคุ้มครอง เป็นค่าใช้จ่ายที่อาจดูเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็คุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับความอุ่นใจ และความสะดวกในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาล

การเรียนรู้ภาษาโครเอเชีย

โครเอเชียเป็นประเทศที่มีภาษาของตัวเอง การมาอยู่ที่นี่เราอาจจะต้องเรียนรู้ภาษาท้องถิ่นบ้างเพื่อทำให้อยู่ง่ายขึ้น

จำเป็นต้องเรียนภาษาโครเอเชียหรือไม่?

หลายคนอาจคิดว่าเพราะโครเอเชียอยู่ในยุโรป ทุกคนคงพูดภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศสได้ แต่จริงๆ แล้ว คนที่นี่ใช้ภาษาโครเอเชีย หรือที่เรียกว่า Hrvatski เป็นหลัก แม้ว่าหลังจากโครเอเชียเข้าร่วมเชงเก้น เด็กรุ่นใหม่จะเรียนภาษาอังกฤษกันมากขึ้นและพูดได้ดีขึ้น แต่สังคมโดยรวมยังมีคนรุ่นเก่าจำนวนมากที่พูดอังกฤษไม่ได้ 

บางทีเวลาคุณไปซื้อของตามร้านสะดวกซื้อ อาจเจอพนักงานอายุมากหน่อยที่ไม่อยากพูดกับคุณ หรือถ้าไปร้านอาหารท้องถิ่น ส่วนมากก็จะไม่มีเมนูรูปภาพ ก็ต้องพึ่งเครื่องแปลภาษา ดังนั้น ถ้าคุณพูดภาษาโครเอเชียได้บ้าง จะได้เปรียบและใช้ชีวิตง่ายขึ้นมาก 

ฉันคิดว่าโครงสร้างและสำเนียงภาษาโครเอเชีย ต่างจากภาษาไทยหรืออังกฤษนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ยากเกินไป เราเริ่มจากคำง่ายๆ  อย่างคำทักทายประจำวัน เช่น “Dobar dan” ที่แปลว่าสวัสดี, “Hvala” หมายถึงขอบคุณ และ “Molim” ที่ใช้แทนคำกรุณาหรือเชิญ รวมถึงคำพื้นฐานอย่างตัวเลข วันเวลา หรือชื่ออาหารก็เพียงพอสำหรับชีวิตประจำวัน

อย่างทุกเช้าเวลาฉันเดินผ่านบ้านคุณป้าๆ ที่รู้จัก ก็มักจะทักทายด้วยคำว่า “Dobar dan!” พร้อมรอยยิ้ม ซึ่งเขาก็มักจะตอบกลับด้วยความอบอุ่นและทักทายถามไถ่ว่า “Kako ste?” (คาโค สเต) แปลว่า “คุณเป็นอย่างไรบ้าง?” แล้วก็จะต่อการสนทนาด้วยภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ อย่างคำว่า “I’m good” หรือคำง่ายๆ อื่นๆ คนโครเอเชียก็พอเข้าใจกันอยู่บ้าง

ถ้าคุณไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ระยะยาว หรือไม่ได้วางแผนสมัครเป็นผู้อยู่อาศัยถาวร (Resident) การใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันก็ถือว่าเพียงพอแล้ว โดยเฉพาะในเมืองสปลิท ดูบรอฟนิก ซาเกร็บที่คนรุ่นใหม่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีพอสมควร

แต่ถ้าคุณมีแผนจะยื่นขอถิ่นที่อยู่ถาวร (Permanent Residency) หรือสัญชาติโครเอเชีย เงื่อนไขสำคัญคือคุณจะต้องสอบผ่านระดับภาษาโครเอเชียขั้นต่ำที่ระดับ A2 หรือ B1 แล้วแต่ประเภทของวีซ่าหรือสถานะที่ยื่น 

วิธีฝึกภาษาโครเอเชียของฉัน

วิธีฝึกภาษาโครเอเชียของฉัน เริ่มจากดูคลิปสอนใน YouTube อย่างช่อง Learn Croatian ซึ่งอธิบายคำศัพท์และบทสนทนาในชีวิตประจำวันได้เข้าใจง่าย หรือใช้แอป Duolingo ที่มีบทเรียนเบื้องต้นให้ฝึกพูดเป็นประจำ เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มต้นและไม่มีพื้นฐานเลย ถ้าใครอยากเรียนจริงจังมากขึ้นก็สามารถสมัครคอร์สออนไลน์ได้ มีทั้งแบบฟรีและเสียเงิน คอร์สแบบเสียเงินส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 20 – 50 ยูโรต่อเดือน แล้วแต่แพลตฟอร์มและระดับความเข้มข้นของบทเรียน

นอกจากเรียนออนไลน์แล้ว เวลาฉันเจอคำศัพท์ใหม่หรือประโยคที่อยากรู้ ก็มักจะถามจากเพื่อนบ้านคนท้องถิ่นเลย แม้จะเป็นเพียงคำเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ช่วยให้กล้าพูดมากขึ้น และยังได้เรียนรู้สำเนียงและสำนวนท้องถิ่น สร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านได้ด้วย

อาหาร

สิ่งแรกที่ฉันหลงรักหลังจากมาอยู่โครเอเชียได้ไม่นาน คือวัตถุดิบสด ๆ ที่หาได้ง่ายมาก โดยเฉพาะ น้ำมันมะกอก  ที่ถือเป็นพระเอกของทุกเมนู ที่เมืองไทยขายแพงและหายาก แต่ที่นี่เดินไปไม่กี่ร้อยเมตรก็เจอแล้ว บางร้านขายเป็นลิตรจากไร่ในท้องถิ่น ราคาย่อมเยาว์และคุณภาพดีจนน่าตกใจ ฉันเคยลองซื้อมากินกับขนมปังแค่เปล่า ๆ ยังรู้สึกว่าชีวิตมันดีได้แค่เพราะน้ำมันมะกอกนี่แหละ

ตลาดสดตอนเช้า โดยเฉพาะในเมืองชายฝั่งอย่างสปลิท (Split) หรือดูบรอฟนิก (Dubrovnik) เต็มไปด้วยของสดตามฤดูกาล ทั้งปลาเพิ่งจับจากทะเล ผักผลไม้สดจากสวน แม้ว่าราคาจะสูงกว่าซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ก็มั่นใจได้ว่าจะได้ของสดใหม่ทุกวัน นอกจากนี้ยังมีขนมปังอบใหม่จากร้านเบเกอรี่ท้องถิ่นที่มีอยู่ทั่วมุมเมือง ซึ่งขนมปังที่นี่ต่างจากขนมปังยุโรปทั่วไป เพราะมีเนื้อนุ่มฟูเป็นพิเศษ ซึ่งต่างจากขนมปังยุโรปที่มักจะแข็ง ทำให้คนไทยอย่างฉันที่ไม่ค่อยชอบขนมปัง กลับกลายเป็นคนที่รักขนมปังขึ้นมาทันที เพราะมันทานง่ายและอร่อยมาก 

ไม่ต้องพูดถึงซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ ๆ อย่าง Tommy, Lidl หรือ Konzum ที่มีครบทุกอย่าง ตั้งแต่ชีส ไวน์ ไปจนถึงอาหารสำเร็จรูปพร้อมอุ่นกิน แถมบางครั้งยังเจอไวน์คุณภาพดีที่ลดราคาจนเหลือแค่ 10 ยูโรด้วย ไม่แปลกใจเลยทำไมคนที่นี่ถึงชอบกินไวน์กันเป็นพิเศษ

Typical bread and ham in Croatia
โดยส่วนตัว ฉันคิดว่าอาหารที่นี่ค่อนข้างเค็ม แต่ข้อดีคือหาวัตุถุ

แอบบอกไว้นิดนึงว่ารสชาติของอาหารโครเอเชีย “เค็มมากกกกกกกกก” เพราะได้รับอิทธิพลจากหลากหลายวัฒนธรรม ทั้งอิตาลี ฮังการี ตุรกี และบอลข่าน ซึ่งสำหรับคนไทยอย่างเราที่เติบโตมากับรสเผ็ดจัดจ้านแต่กลมกล่อมของอาหารไทย จะรู้สึกว่ารสชาติของที่นี่ “แบน” ไปหน่อย หลายครั้งที่รู้สึกว่ามันเค็มโดด ๆ หรือจืดสนิทแบบที่คิดว่า “ถ้าใส่ผงชูรสเข้าไปอีกนิดคงนัวขึ้น” แต่มันก็คือวัฒนธรรมการกินของคนในแถบนี้ ดังนั้น ถ้าพกเครื่องปรุงไปเองด้วยเวลาไปปาร์ตี้ คนโครเอเชียก็ไม่ได้ถือสาอะไรหรอก

เมนูที่คนท้องถิ่นนิยมและฉันเองก็ลองมาเกือบหมดแล้ว เช่น

  • Ćevapi (เชวาปิ) เมนูยอดฮิตที่หาได้ทุกซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านอาหาร เป็นไส้กรอกเนื้อบดปรุงรสแล้วย่างบนถ่าน เสิร์ฟคู่ขนมปังแบนและหัวหอม กินแล้วให้ความรู้สึกคล้ายไส้กรอกอีสานบ้านเรา แบบที่พอจะทดแทนกันได้
  • Peka เมนูเนื้อหรือปลากับผักอบในหม้อดินฝังถ่าน เป็นการนำเนื้อหรือปลาและผักไปอบในหม้อดินแล้วฝังไว้ใต้ถ่านไฟร้อนนานหลายชั่วโมง รสชาติที่ได้จะนุ่มลึก หอมควัน และอร่อยใช้ได้เลยทีเดียว แต่กินไปเรื่อยๆ ก็อาจจะรู้สึกเค็มจนเกินไปก็ได้
  • Sarma อีกหนึ่งเมนูคลาสสิก กะหล่ำปลียัดไส้หมูบดและข้าว แล้วตุ๋นในซอสมะเขือเทศ รสชาติกลมกล่อมแบบอบอุ่น กินตอนอากาศหนาวคือดีที่สุด ส่วนตัวแล้วไม่ใช่เมนูที่ฉันโปรดปรานมากนัก แต่ก็ถือว่าทานง่าย
  • Black Risotto (Crni Rižot) ข้าวหมึกดำสีดำสนิท กลิ่นและรสของทะเลแรงแบบเต็มคำ เป็นเมนูที่คนไทยน่าจะคุ้นเคยอยู่บ้าง เพราะเริ่มมีในร้านอาหารอิตาเลียนในไทยแล้ว แต่ที่นี่คือเวอร์ชันดั้งเดิมและเข้มข้นกว่าเยอะ เหมาะกับคนที่อยากลองอะไรใหม่ ๆ หรือชอบอาหารทะเลเป็นพิเศษ
  • Pašticada เมนูโปรดของฉัน เป็นสตูว์เนื้อวัวตุ๋นจนเปื่อยในซอสรสเปรี้ยวอมหวาน เสิร์ฟพร้อม gnocchi (แป้งคล้ายเกี๊ยวต้มของอิตาเลียน) ถ้าเจอร้านดี ๆ ที่ทำเนื้อไม่มีกลิ่น คือสั่งซ้ำแน่นอน 

วัฒนธรรมการกินของโครเอเชียเป็นอย่างไร?

วัฒนธรรมการกินของที่นี่ ค่อนข้างต่างจากบ้านเรา ทุกมื้อเน้นความช้าและพร้อมหน้า โดยเฉพาะวันอาทิตย์ มื้อกลางวันจะเหมือนวันรวมญาติ ทุกคนจะนั่งกิน พูดคุย ดื่มไวน์ แทบทั้งบ่าย โดยจะเปลี่ยนชนิดของไวน์ตามฤดูกาล เช่น ไวน์แดงในฤดูร้อน หรือไวน์ร้อน (mulled wine) ในฤดูหนาว ที่เสิร์ฟคู่กับขนมปังและน้ำมันมะกอก เรียกได้ว่าอบอุ่นทั้งท้องและหัวใจกันเลยทีเดียว

เรื่องที่คนไทยอย่างเราต้องปรับตัวเล็กน้อย คือ อาหารที่นี่มักจะเสิร์ฟแยกเป็นจานๆ ไป ไม่ใช่อาหารจานเดียวแบบบ้านเรา เช่น ถ้าสั่งสเต็ก ก็จะได้แค่เนื้อเฉยๆ แต่ถ้าอยากสั่งสลัดหรือมันฝรั่งต้องสั่งแยก ทำให้บางทีการไปกินอาหารในร้านอาหารต้องยั้งใจสักหน่อย 

แต่เราก็มีเคล็ดลับ คือ ถ้าอยากกินให้อิ่มจุก แถมประหยัด ให้ลองสั่งเมนูพิเศษช่วงกลางวันที่เรียกว่า “Marenda” หรือ “Daily Menu” ซึ่งจะเสิร์ฟเฉพาะช่วงเที่ยง ราคาประมาณ 6–10 ยูโร ได้ทั้งซุปจานเล็ก อาหารหลัก และของหวานนิดหน่อย บางร้านคือให้เยอะมาก เหมือนอาหารตามสั่งในไทยที่อร่อย คุ้ม และประหยัดไปได้เยอะเลย ห่อไว้กินได้สองมื้อเลย ถึงแม้จะแอบโดนมองแรงอยู่บ้าง ก็เล่นมุกว่าเป็นคนเอเชียตัวเล็กนิดเดียวไม่มีทางกินหมดหรอก เจ้าของร้านก็ไม่ว่าอะไรหรอก

สุดท้ายนี้ ขอเตือนไว้ว่า ถ้าได้มีโอกาสไปกินข้าวบ้านใคร อย่ากินให้อิ่มมาก่อน เพราะคนที่นี่จะเสิร์ฟอาหารมาเยอะมาก ยิ่งถ้าคุณขอเพิ่มจานที่สอง คนโครเอเชียจะยินดีมาก เพราะถือเป็นหนึ่งในรูปแบบของการแสดงความรักเลยทีเดียว

เมืองยอดนิยมสำหรับชาวต่างชาติ

แต่ละเมืองของโครเอเชียมีสเน่ห์ที่แตกต่างกัน บางเมืองสงบเงียบเหมาะกับการทำงาน บางเมืองชิลเหมาะกับการพักผ่อน และบางเมืองก็ครึกครื้นมีสีสันเหมาะกับสายโซเชียลที่ชอบพบเจอผู้คน และถ้าพูดถึงเมืองที่ฮิตฮอตที่สุดในหมู่ชาวต่างชาติ ก็ต้องเป็น ซาเกร็บ (Zagreb), สปลิท (Split), และดูบรอฟนิก (Dubrovnik) 

ซาเกร็บ (Zagreb) สำหรับคนรักสีสันยามค่ำคืน

เมืองหลวงที่มีครบทุกอย่าง เหมาะกับคนที่ชอบชีวิตในเมือง ชอบงานที่มีความมั่นคง และชอบสีสันยามค่ำคืน ที่นี่มีทั้งงานประจำและงานรีโมตให้เลือก แถมยังได้ฟีลยุโรปตะวันตก แต่ค่าครองชีพไม่แรงเท่าเยอรมันหรือออสเตรีย ค่าห้องแชร์อยู่ราว ๆ 250 – 400 ยูโรต่อเดือน ค่าอาหารกลางวันทั่วไป 6 – 10 ยูโร และมีคาเฟ่เก๋ ๆ รถรางวิ่งทั่วเมือง ร้านหนังสือ ตลาดนัดวันหยุด และบริษัทข้ามชาติให้สมัครได้ไม่ขาดสาย วันหยุดก็แค่ขึ้นรถรางไปจิบกาแฟ ชมสวน ปั่นจักรยาน หรือฟังดนตรีสดในเมือง ก็ให้บรรยากาศมีชีวิตชีวา แต่ไม่วุ่นวายเกินไป

สปลิท (Split) สำหรับคนรักการพักร้อน

เมืองที่ฉันอยู่ และกล้าบอกเลยว่า “อยู่ที่นี่เหมือนได้เที่ยวทุกวัน” เพราะวิวสวย อากาศดี ผู้คนเป็นมิตร เหมาะกับคนที่อยากใช้ชีวิตช้า ๆ จิบกาแฟยามเช้า ก่อนเริ่มทำงาน และมองน้ำทะเลระยิบระยับได้ทั้งเช้าเย็น เมืองนี้ถ้าใครทำงานรีโมต สายสร้างสรรค์ หรืออยากหลีกหนีความวุ่นวายจากเมืองใหญ่ ที่นี่คือคำตอบ หรือใครที่กำลังมองหางานสายบริการ ทำงานตามเกาะหลีกหนีความวุ่นวายก็ขอแนะนำเลย หรือนักศึกษาที่อยากหามหาวิทยาลัย ในสปลิทก็มีมหาลัย ดังๆ ให้เลือกเหมือนกัน 

แม้ระบบขนส่งอาจไม่สะดวกเท่าเมืองหลวง แต่ตัวเมืองเดินถึงกันได้ง่าย และมีบรรยากาศน่าอยู่ ค่าครองชีพจะสูงกว่าซาเกร็บนิดหน่อย อย่างค่าห้องแชร์เริ่มราว 300–450 ยูโรต่อเดือน ถ้าอยู่คนเดียวแบบอพาร์ตเมนต์ส่วนตัวก็ประมาณ 900 ยูโร แต่ถ้ามีเพื่อนแชร์ก็หารได้สบาย ๆ

ดูบรอฟนิก (Dubrovnik) สำหรับคนรักการปาร์ตี้

ใครชอบถ่ายรูป เที่ยวเมืองเก่า หรือเป็นสายอาร์ต สายโรแมนติก จะหลงรักที่นี่ง่ายมาก เพราะทุกมุมคือเหมือนฉากหนัง ด้วยกำแพงเมืองยุคกลาง ถนนหินสีทอง และวิวทะเลแบบพรีเมียมที่สุดในโครเอเชีย แต่ค่าครองชีพสูงที่สุดในประเทศ โดยเฉพาะในย่านเมืองเก่า ค่าเช่าห้องแชร์เริ่มราว 400 – 600 ยูโรต่อเดือน อาหารตามร้านส่วนใหญ่เน้นนักท่องเที่ยว ราคาค่อนข้างแรง แต่ถ้าเดินลึกเข้าไปในโซนท้องถิ่นก็พอจะเจอร้านราคาดี ๆ ได้อยู่บ้าง เหมาะกับคนที่อยากใช้ชีวิตรายล้อมด้วยความสวยงามและวัฒนธรรม

ใครชอบโซเชียลไลฟ์ ปาร์ตี้ หรือทำงานสายการท่องเที่ยว จะสนุกมากในช่วงฤดูร้อน เพราะเมืองคึกคักทั้งวันทั้งคืน ร้านค้าเปิดยาว มีอีเวนต์เยอะ แต่พอเข้าสู่หน้าหนาว หลายร้านจะปิดพัก เมืองเงียบลงอย่างเห็นได้ชัด แถมพายุฝนที่โหมกระหน่ำ ใครมีเวลาว่างแค่เฉพาะช่วงหน้าร้อน เมืองนี้ก็ถือว่าตอบโจทย์เลยทีเดียว

ในโครเอเชียมีสนามบินใดบ้าง และเดินทางยากไหม?

การเดินทางมาโครเอเชียไม่ยุ่งยาก เพราะอยู่ใกล้กับออสเตรีย อิตาลี และเยอรมัน ซึ่งมีสายการบินตรงไปโครเอเชียเยอะ สนามบินหลักที่นิยมใช้กันคือ สนามบินนานาชาติ Franjo Tuđman (Zagreb Airport) ที่เมืองหลวงซาเกร็บ เป็นสนามบินใหญ่ที่สุดของประเทศ มีเที่ยวบินตรงจากหลายเมืองใหญ่ในยุโรป เช่น เวียนนา อัมสเตอร์ดัม มิวนิก อิสตันบูล ฯลฯ ต่อเครื่องสะดวกมาก

ถ้าเน้นมาอยู่เมืองชายฝั่งอย่าง สปลิท (Split) หรือ ดูบรอฟนิก (Dubrovnik) ก็มีสนามบินนานาชาติที่รองรับโดยตรงเช่นกัน คือ Split Airport และ Dubrovnik Airport โดยเฉพาะช่วงฤดูร้อนจะมีเที่ยวบินตรงจากยุโรปเพิ่มขึ้นเยอะ ทำให้ไม่ต้องต่อรถนาน แต่ตั๋วอาจจะแพงขึ้นถ้าจองใกล้วันเดินทาง เที่ยวบินจากเยอรมันใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ส่วนจากอิตาลีแค่ประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น

ตอนที่ฉันอยู่ก็เคยบินไปโรม เยอรมัน และออสเตรียมาก่อน ถือว่าสะดวกมาก เพราะบินในเขตเชงเก้นไม่ต้องขอวีซ่า ถ้ามีบัตร OIB ไว้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้พาสปอร์ตตลอดเวลา แต่ก็แนะนำให้พกติดตัวไว้ด้วย สายการบินที่มีให้เลือกทั้งแบบ Low Cost และสายการบินหลัก เช่น Eurowings, Austrian Airlines, Croatian Airlines เป็นต้น ทำให้เลือกตามงบและความสะดวกได้ง่ายมากขึ้น

วิธีการเดินทาง

การเดินทางในโครเอเชียค่อนข้างสะดวก และมีวิธีเดินทางไปให้เยอะมาก

รถบัสและรถราง (Tram)

การเดินทางภายในโครเอเชีย แนะนำให้ใช้รถบัสเป็นหลัก เพราะมีบริษัทเอกชนหลายเจ้า เช่น FlixBus, Arriva, และ Promet ที่ขึ้นชื่อเรื่องบริการดี ตรงเวลา และราคาประหยัด รถบัสจอดหลายจุดในเมืองใหญ่และเมืองเล็ก ทำให้เดินทางสะดวกมาก

ในโครเอเชียแต่ละเมืองมีระบบขนส่งที่แตกต่างกัน เช่น ซาเกร็บมีรถราง (Tram) วิ่งครอบคลุมทั่วเมือง ขณะที่สปลิทใช้รถบัสเป็นหลัก นอกจากนี้ ซาเกร็บยังมีรถบัสสำหรับเดินทางระหว่างเขตต่าง ๆ หรือจากสนามบินเข้าสู่ตัวเมือง โดยมี Shuttle Bus ให้บริการทุกชั่วโมง แต่สปลิทไม่มีให้บริการแต่ก็อยู่ติดป้ายรถเมล์ อย่างนี้เป็นต้น

Tram in Zagreb
หากใครอยู่ซาเกร็บ สามารถใช้รถรางเดินทางไปได้ทั่วทั้งเมืองเลย

หากเป็นในซาเกร็บค่าโดยสารรถรางหรือรถบัสเริ่มต้นประมาณ 0.53 ยูโร หากซื้อแบบเที่ยวเดียว หรือถ้าใช้บ่อย สามารถซื้อบัตรเติมเงินรายเดือนได้ในราคา ประมาณ 50 ยูโร เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ระยะยาวและต้องใช้บริการขนส่งสาธารณะเป็นประจำ

ในเมืองรองอย่างสปลิทหรือดูบรอฟนิก จะไม่มีรถราง แต่ใช้รถบัสท้องถิ่นเป็นหลัก ซึ่งออกทุก 20–30 นาทีในช่วงกลางวัน ค่าโดยสารอยู่ที่ประมาณ 1–2 ยูโรต่อเที่ยวหากซื้อล่วงหน้า แต่ถ้าซื้อกับคนขับจะประมาณ 3.5 ยูโรต่อเที่ยว

สำหรับคนที่ตั้งใจอยู่ถาวร แนะนำให้ทำบัตรรถบัสเพื่อลดค่าใช้จ่าย แม้จะไม่มีระบบรายเดือนเหมือนเมืองหลวง แต่ก็ดีกว่าซื้อเที่ยวเดียว เพราะบางครั้งการซื้อผ่านแอปเจอปัญหาแอปล่ม เน็ตหลุด หรือคนแน่นจนเข้าไม่ถึงตู้สแกนตั๋ว ต้องลุ้นว่าจะมีเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วขึ้นมาหรือไม่ แต่ถ้ามีบัตรรถบัสก็ไม่ต้องแสกนบัตร ก็สามารถขึ้นรถได้เลย สะดวกและสบายใจกว่าเยอะ

รถไฟ

ส่วนรถไฟมีเส้นทางหลักระหว่างเมืองใหญ่ เช่น ซาเกร็บ–ริเยกา หรือ ซาเกร็บ–โอซิเยก (Osijek) แต่รอบเดินรถน้อยและช้ากว่ารถบัส แม้จะมีเส้นทางมายังสปลิทหรือดูบรอฟนิกบ้าง แต่บริการค่อนข้างน้อย มีแค่ 2-3 เที่ยวต่อสัปดาห์ หรือช่วงฤดูหนาวอาจไม่มีเลย อีกทั้งการเดินทางด้วยรถไฟมักลำบากและใช้เวลานาน จึงแนะนำให้เลือกเดินทางด้วยรถบัสจะสะดวกและยืดหยุ่นกว่ามาก

เรือ

หากอยู่เมืองชายฝั่งและอยากเที่ยวเกาะ มีเรือเฟอร์รี่ให้บริการจากท่าเรือต่างๆ เช่น จากสปลิทไปยังเกาะฮวาร์ (Hvar), บราช์ (Brač) หรือวิซ (Vis) ค่าโดยสารเริ่มที่ 5 – 10 ยูโร ขึ้นอยู่กับระยะทางและประเภทเรือ และยังมีเรือข้ามฟากระยะยาว เช่น เส้นทางจากสปลิทไปอิตาลี ใช้เวลาประมาณ 14 ชั่วโมง สำหรับคนที่ชอบการเดินทางแบบผจญภัย เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่มีสีสันเรื่องการเดินทางมากทีเดียว

สังคมและวัฒนธรรมโครเอเชีย

เท่าที่ฉันสัมผัสและพบเจอ คนโครเอเชียส่วนใหญ่เป็นมิตร ให้ความสำคัญกับครอบครัวและชุมชน และภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของตัวเองมาก เพราะประเทศเพิ่งผ่านสงครามมาไม่นาน คนที่นี่เลยยังมีความรักชาติสูง และให้ความสำคัญกับศาสนาและรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ของตัวเอง อย่างเห็นได้ชัดเจนเลยคือ การตั้งชื่อลูกหลานตามนักรบของชาติ เช่น อันเต หรืออีวาน ที่แทบจะมีอยู่ทุกบ้าน หรือชื่อตามท่าเรือดัง ๆ อย่างมาริน่า หรือทีน่า ก็มีให้เห็นบ่อยมาก

เปรียบเทียบแผนประกันสุขภาพสำหรับชาวต่างชาติ

ไอคอนเปรียบเทียบประกันสุขภาพ

หน้าเว็บไซต์นี้จะช่วยให้คุณสามารถเปรียบเทียบแผนประกันสุขภาพต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลาค้นหาข้อมูลเอง

สิ่งที่คุณสามารถทำได้:

  • เข้าถึงข้อมูลสำคัญ เพื่อช่วยในการเลือกแผนประกันที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ
  • เปรียบเทียบข้อเสนอจากบริษัทประกันภัยได้สูงสุดถึง 9 แห่ง โดยไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูลส่วนตัว
  • ตรวจสอบรายละเอียดของแต่ละแผนได้ทันที ทั้งในด้านราคาและความคุ้มครอง
  • หากพบแผนที่ตรงกับความต้องการ สามารถขอใบเสนอราคาจากบริษัทหรือโบรกเกอร์ได้โดยตรง

แม้คนโครเอเชียจะไม่ได้เปิดใจหรือชอบการสนทนาง่ายๆ  โดยเฉพาะกับคนเอเชียที่ดูแปลกตา แต่ถ้าได้รู้จักกันแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นมิตร ใจดี และเต็มใจช่วยเหลือ อย่างเพื่อนบ้านฉันบางคนชอบเอาอาหารโครเอเชียมาให้ลองกินบ่อย ๆ พร้อมบอกเล่าความภูมิใจในอาหารพื้นเมืองของเขา บอกสูตร บอกวิธีทำ และการกินอย่างจริงใจ และทุกเช้าต้องไม่ลืม “กาแฟ” ที่เป็นเหมือนพิธีประจำวัน ทุกเช้าต้องมานั่งจิบ พูดคุยทักทายกันหน่อย เรียกได้ว่ากว่าจะกินกาแฟกันเสร็จก็ปาไป 3 ชั่วโมงกว่าจะเริ่มต้นวันได้

beach in split
แม้ว่าคนโครเอเชียอาจจะดูเหมือนเข้าถึงยาก แต่พอรู้จักแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นมิตรมากเช่นเดียวกัน

อีกสิ่งที่คนโครเอเชียคลั่งไคล้สุด ๆ คือ “ฟุตบอล” วันไหนมีแมตช์ทีมชาติเหมือนเมืองทั้งเมืองจะหยุด ทุกคนพร้อมใจกันหมกตัวดูบอล บาร์ที่มีจอใหญ่จะเต็มไปด้วยเสียงเชียร์ และถ้าโครเอเชียชนะ เตรียมเจอเสียงพลุฉลองได้เลย พลุเล็กพลุใหญ่มีหมด เป็นวาระแห่งชาติของที่นั่นเลยทีเดียว 

เรื่องการเหยียด ฉันไม่เคยเจอกับตัวตรง ๆ จากคนโครเอเชีย บางทีอาจมีเด็กเล็กพูดทำนอง “หนีฮ่าว” หรือ “โคนิจิวะ” ใส่ แต่ส่วนใหญ่ดูเป็นเรื่องอยากคุยด้วยมากกว่าจะเหยียด สิ่งที่ฉันเจอว่ารู้สึกเหยียดจริง ๆ กลับมาจากนักท่องเที่ยวประเทศอื่นมากกว่า เช่น คนอังกฤษหรือสวีเดน ที่ย้ายมาตั้งรกรากที่นี่เพราะค่าครองชีพถูกกว่าบ้านเกิดมากกว่า บางครั้งพวกเข้าจะแสดงท่าทีเหยียดแบบแอบแฝง หรือทำให้รู้สึกแปลกแยกโดยไม่จำเป็น หรือบางทีก็เจอนักท่องเที่ยวฝั่งเอเชียตะวันออกเอง ที่ทำตัวดูแคลนคนเอเชียด้วยกัน แต่ฉันไม่ค่อยถือสาอะไร เพราะสุดท้ายก็มักจะเป็นคนที่เราเจอครั้งเดียวมากกว่า

เพราะจริงๆ แล้ว นิสัยโดยรวมของคนโครเอเชียจะพูดตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม ถ้าไม่พอใจก็พูด  บางทีก็ถึงขั้นต่อยกันให้จบแล้วค่อยกลับมาขอโทษทีหลัง แต่ในชีวิตประจำวันส่วนใหญ่แล้ว คนโครเอเชียจะชิล ๆ ไม่ฟิกซ์เวลามาก งานไม่ต้องเป๊ะ แต่ขอให้เสร็จและออกมาดี ทุกอย่างก็โอเค และถ้าคุณแสดงความจริงใจ และให้เกียรติพวกเขา คุณจะได้เห็นด้านอบอุ่นของสังคมนี้แน่นอน และนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า การใช้ชีวิตที่นี่มันไม่ยากเลยถ้าเราเข้าใจวิถีชีวิตและปรับตัวให้เข้ากับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้

หากทำงานในโครเอเชียต้องจ่ายภาษีหรือไม่?

ฉันเองถือว่าโชคดี เพราะบริษัทที่ทำงานอยู่จัดการเรื่องภาษีให้ทั้งหมด  และมีสำนักงานบัญชีคอยดูแล ทำให้ไม่ต้องปวดหัวกับการยื่นภาษีเอง แต่สำหรับใครที่กำลังวางแผนจะมาอยู่โครเอเชีย ไม่ว่าจะมาเรียน ทำงาน เปิดธุรกิจ หรือมาเป็นดิจิทัลโนแมด 

สิ่งที่ควรรู้ไว้ล่วงหน้า คือ ระบบภาษี ที่นี่ค่อนข้างจริงจัง และทุกคนที่มีรายได้ในประเทศต้องเสียภาษีตามกฎหมาย เรียกได้ว่า ถ้ามีเงินเข้าบัญชีในโครเอเชียแบบไม่มีที่มาชัดเจน แค่ราว ๆ 1,000 ยูโร แล้วดันไปแมตช์กับชื่อบริษัทหรือนายจ้างในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน รายได้ฟรีแลนซ์ หรือค่าจ้างบางอย่าง โอกาสที่ธนาคารจะโทรหาคุณเพื่อนัดคุย หรือส่งข้อมูลต่อให้กรมภาษีมีสูงมาก เพราะระบบที่นี่ค่อนข้างระวังเรื่องการฟอกเงินและภาษีซ่อนอยู่พอสมควร

ง่าย ๆ เลย คือ ตอนหางานหรือคุยกับนายจ้าง ควรถามให้ชัดว่าทางบริษัทหักภาษีและยื่นให้ด้วยหรือเปล่า พร้อมทำข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรไปด้วยเลย ถ้าทำให้ก็สบายใจ ไม่ต้องวุ่นวายจัดการเอง แต่ถ้าไม่มีให้ ก็ต้องเตรียมจัดการภาษีเองทั้งหมด

โดยโครงสร้างภาษีที่นี่จะคล้ายกับของไทย คือเป็นระบบขั้นบันได รายได้ส่วนแรกเสียภาษี 20% ถ้าเกินเพดานที่กำหนด จะโดนอัตราสูงขึ้นเป็น 30% ยังไม่รวมค่าประกันสังคมที่นายจ้างและลูกจ้างต้องร่วมจ่ายอีกด้วย รวมแล้วอัตราภาษีและค่าประกันสังคมอาจสูงถึง 30 – 40% ของรายได้ แต่ก็แลกมากับสิทธิด้านสุขภาพ การรักษาพยาบาล และสวัสดิการพื้นฐานในประเทศ

สำหรับสายดิจิทัลโนแมดหรือเจ้าของธุรกิจรายย่อย จะมีขั้นตอนซับซ้อนขึ้น เพราะต้องลงทะเบียนเป็นผู้เสียภาษี และหากรายได้เกินเกณฑ์ ยังอาจต้องยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ด้วย แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีที่เข้าใจระบบของโครเอเชียโดยเฉพาะ เพราะบางขั้นตอนอาจยุ่งยากสำหรับชาวต่างชาติ การมีผู้รู้ตัวจริงที่พูดภาษาโครเอเชียได้ก็จะทำให้คุณใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นเยอะด้วย

ข้อดีคือ โครเอเชียมีข้อตกลงภาษีซ้อนกับหลายประเทศ รวมถึงไทย นั่นหมายความว่า หากคุณยื่นภาษีในโครเอเชียแล้ว ก็จะไม่ต้องยื่นซ้ำในไทย (แต่ต้องแจ้งและจัดการเอกสารให้ถูกต้อง) หรือถ้าเสียภาษีในไทยแล้วก็ไม่ต้องเสียภาษีในโครเอเชียนั่นเอง

ทำไมคนที่อาศัยอยู่ต่างประเทศควรมีประกันชีวิต?

การย้ายไปใช้ชีวิตในต่างประเทศเปิดโอกาสใหม่ ๆ มากมาย ทั้งเรื่องงาน ครอบครัว และการลงทุนในอนาคต

แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ การวางแผนความมั่นคงทางการเงิน ให้กับคนที่คุณรัก

ประกันชีวิต ช่วยให้คุณ:

  • ดูแลครอบครัว แม้ยามไม่อยู่
  • ปกป้องรายได้และทรัพย์สิน
  • วางแผนมรดกและค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน
  • ลดความยุ่งยากทางภาษีและกฎหมายข้ามประเทศ
  • สร้างความมั่นคงแม้ห่างไกลบ้านเกิด

หากคุณเป็นชาวต่างชาติที่พำนักในต่างประเทศ หรือมีครอบครัวข้ามประเทศการมีแผนประกันชีวิตที่เหมาะสมและวางแผนไว้อย่างดี คือสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

โครเอเชียใช้ชีวิตยากไหมและปลอดภัยแค่ไหน?

โดยรวมแล้ว โครเอเชียนับว่าเป็นหนึ่งในประเทศยุโรปที่ปลอดภัยที่สุดเลยก็ว่าได้ เทียบกับเมืองใหญ่ในยุโรปตะวันตกอย่างเบอร์ลิน บรัสเซลส์ หรือปารีส ที่มีข่าวโจรกรรมล้วงกระเป๋าแทบทุกวัน โครเอเชียกลับสงบกว่ามากจนรู้สึกสบายใจแบบไม่ต้องหันหลังมองตลอดเวลา

ตอนอยู่สปลิท (Split) และเคยไปเที่ยว ดูบรอฟนิก (Dubrovnik), ริเยกา (Rijeka), และ ซิเบนิก (Šibenik) บอกเลยว่า เดินเล่นในเมืองชิลๆ วางกระเป๋าตามชายหาด หรือเดินกลับบ้านตอนกลางคืนคนเดียวก็ไม่ต้องพกสเปรย์พริกไทย หรือวาดระแวงจนแพนิค ก็เที่ยวได้อย่างสบายใจ หรือวันธรรมดาๆ ที่ลืมปิดประตู หน้าต่างก็ไม่ต้องกังวล เพราะคนในชุมชนส่วนใหญ่ก็รู้จักกัน ใครแปลกหน้าหรือทำท่าน่าสงสัย ก็จะมองออกทันที บ้านหลายหลังถึงขนาดไม่ปิดประตูรั้วตอนกลางวันด้วยซ้ำ เพราะทุกคนให้เกียรติกัน และช่วยเหลือกันดีมาก

แต่ถ้าพูดถึง ซาเกร็บ (Zagreb) ก็อาจต้องระวังขึ้นมาหน่อย เพราะคนเยอะ และมีบรรยากาศแบบ ชุมชนเมือง โดยเฉพาะตามย่านท่องเที่ยว สถานีรถไฟ หรือรถรางช่วงเย็น ก็อาจมีมิจฉาชีพบ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นน่ากลัวเท่าประเทศอื่น อย่างตอนฉันไปเยอรมันกับบรัสเซลส์ ต้องกอดกระเป๋าแน่น หนีบโทรศัพท์ไว้ข้างตัวแทบทั้งวัน แต่ในโครเอเชียคือถือมือถือเดินเล่นได้แบบชิล ๆ ไม่ต้องเกร็งเลย

การเดินทางและแท็กซี่

ถ้าจะใช้บริการรถสาธารณะหรือแท็กซี่ในโครเอเชีย แนะนำให้ใช้แอปเรียกรถอย่าง Bolt หรือ Uber จะสะดวกและปลอดภัยกว่า คนท้องถิ่นที่นี่เองก็นิยมใช้แอปกันอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนดักตีเหมือนบางข่าวในประเทศไทย เพราะการเรียกรถผ่านแอปถือว่าเป็นเรื่องปกติและปลอดภัยในที่นี่ แม้ว่าแท็กซี่ทั่วไปจะยังมีให้เห็น แต่ก็อาจเจอราคาที่โก่งเล็กน้อยโดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยว ถ้าจำเป็นต้องเรียกแท็กซี่ริมถนน ควรเลือกรถที่มีทะเบียนชัดเจนและเปิดมิเตอร์เท่านั้น 

ฤดูหนาว = ฤดูที่ต้องระวังขึ้นนิดนึง

ช่วงหน้าหนาว โครเอเชียจะเงียบเหงาลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะเป็นช่วงโลว์ซีซั่น คนตกงานเยอะ รายได้หายไป บางครั้งจะเจอคนเมาหรือคนไร้บ้านเดินวนเวียนในเมือง ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ทำอะไรมาก แค่พูดจาเสียงดังหรือเข้ามาขอเงินแบบแปลก ๆ ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการเดินลำพังในที่เปลี่ยวตอนดึก และ ปิดประตูบ้านให้ดีกว่าเดิมก็พอ

ที่โชคร้ายที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินจากคนใกล้ตัว คือ ร้านอาหารไทยในเมืองโตรเกียร์โดนทุบกระจก ขโมยเงินสด แท็บเล็ต และพ่นคำดูหมิ่นไว้ที่ผนัง สาเหตุเกิดจากความไม่พอใจระหว่างเจ้าของร้านกับพนักงานชาวโครเอเชีย ซึ่งเป็นตัวอย่างที่เห็นเลยว่าคนที่เครียด ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ก็อาจแสดงออกแรง ๆ ได้ในช่วงฤดูนี้

ข้อควรระวังอื่น ๆ

คนโครเอเชียไม่ชอบคนเมาจนขาดสติ พยายามหลีกเลี่ยงการดื่มหนักจนทำตัวไม่เหมาะสมในที่สาธารณะ เพราะอาจโดนตำรวจจับหรือสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นคนเอเชียที่มีเอกลักษณ์ชัดเจนในชุมชนเล็ก ๆ เรื่องนี้อาจกลายเป็นข่าวลือปากต่อปากจนทำให้ร้านบาร์บางแห่งไม่รับพวกคุณอีกเลย นอกจากนี้ อย่าทิ้งขยะเกะกะในที่สาธารณะ เพราะคนโครเอเชียให้ความสำคัญกับความสะอาดและมารยาทสังคมมาก ถือเป็นเรื่องที่ควรเคารพอย่างยิ่ง หรือหากลักลอบทิ้งขยะในตอนกลางคืน ก็จะมีชาวบ้านเป็นหูเป็นตา และไม่นานก็จะมีใบสั่งมายังบ้านของคุณแน่นอน

เอกสารที่ควรนำติดตัว

สิ่งสำคัญที่สุดคือการเตรียมเอกสารให้พร้อมและพกติดตัวไว้เสมอ เพราะจะช่วยให้การใช้ชีวิตและทำธุรกรรมต่าง ๆ ราบรื่นขึ้นมาก

สำหรับฉัน เอกสารหลักที่ต้องมีติดตัวคือ “บัตรประจำตัวผู้เสียภาษี (OIB)” ใบเดียวก็ใช้ชีวิตได้สบาย ๆ หรือถ้าต้องขับรถ ก็พกใบขับขี่ระหว่างประเทศคู่กับพาสปอร์ตไว้ด้วย แต่ถ้าไม่มี OIB ก็ควรพกพาสปอร์ตติดตัวตลอดเวลาจะดีที่สุด อีกข้อแนะนำคือ ควรเก็บสำเนาเอกสารสำคัญในรูปแบบดิจิทัล เช่น ในอีเมล หรือแอปเก็บไฟล์บนมือถือ เผื่อกรณีฉุกเฉิน เช่น Work Permit หรือสัญญาการจ้างงานที่ระบุชื่อบริษัทและ OIB ของบริษัทให้ชัดเจน

ตอนฉันบินไปเที่ยวออสเตรียซึ่งเป็นเขตเชงเก้นเหมือนกัน ตำรวจก็ขอตรวจ OIB กับพาสปอร์ต และขอสัญญาจ้างงานเพื่อยืนยันว่าไม่ได้ไปทำงานผิดกฎหมาย โชคดีที่ฉันสแกนเก็บไว้ในมือถือ ก็ยื่นให้เจ้าหน้าที่ดูได้เลย แถมยังมีไฟล์ทขาบินกลับประเทศเป็นหลักฐาน เจ้าหน้าที่ก็ตรวจสอบและให้ผ่านโดยไม่มีข้อกังขาใดๆ 

หรือประสบการณ์เคยโดนตำรวจเรียกตอนขับรถ วันนั้นพกใบขับขี่ระหว่างประเทศไว้ แต่ไม่ได้พกพาสปอร์ตเพราะส่งไปทำเอกสารกับสถานทูตไทย มีแค่ OIB ติดตัว เล่าเรื่องนี้ให้เจ้าหน้าที่ฟัง เค้าก็เข้าใจเหตุผล และยิ้มให้เล็กน้อย และกล่าวว่า “คุณมี OIB ก็ไม่เป็นอะไร” ดังนั้น ถ้าคุณไม่ได้ทำผิดกฎหมายและมีเจตนาดีจริงใจ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการใช้ชีวิตในโครเอเชียเลย

ไทม์ไลน์วางแผนการย้ายไปอยู่ประเทศโครเอเชีย

จากประสบการณ์ของฉัน การย้ายมาอยู่โครเอเชียไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นข้ามคืน แต่เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาวางแผนอย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี เพราะระบบราชการของที่นี่ค่อนข้างเชื่องช้า และต้องใช้เอกสารหลายขั้นตอนมาก ๆ

3-6 เดือนก่อนย้าย

ฉันเริ่มจากการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าครองชีพ ที่พัก ระบบสุขภาพ วัฒนธรรมการทำงาน กฎหมายเข้าเมือง ไปจนถึงสภาพอากาศ เพื่อดูว่าเราจะปรับตัวไหวไหม และที่สำคัญคือต้องหาบริษัทที่สามารถออกเอกสารวีซ่าและ Work Permit ให้ได้ เพราะถ้าไม่มีนายจ้างที่สนับสนุนเรื่องเอกสารให้ เราจะเดินเรื่องเองยากมาก

พอได้บริษัทที่รับเราเข้าทำงานแล้ว ฉันก็เริ่มเตรียมเอกสารฝั่งของตัวเอง เช่น หนังสือเดินทาง ใบรับรองอาชญากรรมจากประเทศไทย และร่างสัญญาจ้างงาน ส่วนเอกสารอื่น ๆ เช่นแบบฟอร์มคำร้อง วีซ่า หรือ Work Permit นายจ้างฝั่งโครเอเชียจะเป็นคนจัดการให้ทั้งหมด จากนั้นก็รออีเมลแจ้งผลวีซ่าอย่างเดียว

ในช่วงนี้ฉันก็ใช้เวลาเรียนรู้ภาษาโครเอเชียและทบทวนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม แม้ว่าไม่ต้องใช้ผลสอบใด ๆ ก็สามารถมาทำงานได้ แต่ถ้าสื่อสารได้บ้าง จะช่วยให้ชีวิตในช่วงแรกง่ายขึ้นมาก

1-2 เดือนก่อนย้าย

ฉันเริ่มหาที่พักในโครเอเชีย ซึ่งต้องรีบพอสมควร เพราะบ้านเช่าหายาก โดยเฉพาะเมืองยอดนิยมอย่างซาเกร็บหรือสปลิท การติดต่อกับเจ้าของบ้านหรือเอเจนซี่ต้องทำให้ชัดเจน และควรเซ็นสัญญาไว้ล่วงหน้า ถ้ามีบ้านพร้อมไว้ก่อน จะช่วยให้การลงทะเบียนหลังเข้าประเทศราบรื่นมากขึ้น

สัปดาห์ก่อนย้าย

เมื่อวีซ่าอนุมัติ ก็จองตั๋วเครื่องบินทันที และเตรียมของทั้งหมดให้พร้อม ตรวจเอกสารอีกครั้งให้ชัวร์ว่าไม่ลืมอะไร บอกลาเพื่อน ครอบครัว และเตรียมใจกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต

วันที่เดินทางถึงโครเอเชีย

พอเดินทางมาถึงโครเอเชีย สิ่งแรกที่ต้องทำภายใน 3 วัน คือไปลงทะเบียนที่อยู่กับสถานีตำรวจท้องถิ่นตามที่กฎหมายกำหนด แล้วก็ไปขอเลข OIB (หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี) ซึ่งใช้กับทุกธุรกรรม ตั้งแต่เปิดบัญชีธนาคาร ซื้อซิมมือถือ ไปจนถึงลงทะเบียนกับระบบประกันสุขภาพ HZZO และเลือกหมอประจำตัว (GP)

ส่วนบัญชีธนาคารควรเปิดไว้เลยในช่วงแรก เพราะใช้รับเงินเดือน และผูกกับบริการต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน อย่างเช่นเช่าบ้าน จ่ายบิล หรือซื้อประกันสุขภาพ

1-3 เดือนแรกหลังย้าย

ฉันใช้เวลาในการปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่ เรียนรู้วิถีชีวิตท้องถิ่น และฝึกภาษาผ่านการพูดคุยกับคนรอบตัว รวมถึงสร้างเครือข่ายทั้งกับชาวโครเอเชียและชาวต่างชาติคนอื่น ๆ ที่มาใช้ชีวิตที่นี่เหมือนกัน เพราะคนกลุ่มนี้จะช่วยให้เราผ่านช่วงปรับตัวได้ดีขึ้นมาก และอย่าลืมตรวจสอบเรื่องใบอนุญาตพำนักด้วย เพราะเริ่มแรกเราจะได้วีซ่ามาแค่ 3 เดือน ถ้าอยู่นานกว่านั้นต้องต่ออายุให้เรียบร้อย โดยขั้นตอนจะคล้ายกับตอนขอ OIB และ Work Permit แรกเข้า และแนะนำว่าต่อแบบ 1 ปีไปเลยจะประหยัดกว่า และไม่ต้องยุ่งยากอีกด้วย

สรุปคือ ถ้าเตรียมตัวดีตั้งแต่ต้น ไม่เร่ง ไม่ลืมเอกสารอะไร การย้ายมาอยู่โครเอเชียก็จะราบรื่นกว่าที่คิดมาก แม้จะมีระบบราชการที่ช้า แต่ถ้าเข้าใจระบบและค่อย ๆ ทำไป ทีละขั้นตอน ทุกอย่างก็ไปได้ดีแน่นอน

Rattima Korwisedchai
เคยใช้ชีวิตในโครเอเชียช่วงปี 2024 และได้สัมผัสชีวิตประจำวันนอกเหนือจากมุมมองของนักท่องเที่ยว ปัจจุบันเขียนบทความให้เว็บไซต์ต่างประเทศในหัวข้อเกี่ยวกับการย้ายประเทศ ไลฟ์สไตล์ และการทำงานแบบดิจิทัล